บทความโดย คมกฤช อุ่ยเต็กเค่ง
ตีพิมพ์ครั้งแรกในมติชนสุดสัปดาห์
ภาพประกอบโดย Nakkusu
มีคลิปอันหนึ่งเผยแพร่ในโลกอินเตอร์เน็ตชื่อ “The Dalai Lama I Crying while Teaching About Bodhicitta” แปลว่า “องค์ทะไลลามะร้องไห้ขณะสอนเรื่องโพธิจิต” บันทึกเหตุการณ์ ขณะที่องค์ทะไลลามะ ประมุขของพุทธศาสนาฝ่ายทิเบตกำลังเทศน์สอนอยู่
จู่ๆเมื่อตรัสถึงประโยคที่แปลได้ว่า “เป็นโชคดีของเหล่าลามะทั้งหลายที่ได้มีโอกาสสอนเรื่อง “โพธิจิต” และเป็นโชคดีของท่าน ศิษย์ทั้งหลายที่ได้มีโอกาสเรียนเรื่องโพธิจิต..จิตอันเมตตากรุณาและทำประโยชน์แก่ผู้อื่น” จากนั้นการเทศน์ก็ชะงักลงเพราะองค์ท่านร้องไห้ออกมาอย่างมากมาย
เหตุใดองค์ทะไลลามะจึงร้องไห้ด้วยความสะเทือนใจขณะที่กล่าวถึง “โพธิจิต” สิ่งนี้คืออะไร
“โพธิจิต” แปลว่า “จิตแห่งการตรัสรู้” แต่กระนั้นก็ไม่มีนิยามที่ตายตัวเกี่ยวกับโพธิจิต เพราะโพธิจิตเกี่ยวพันกับ “หัวใจ” และ “ความรู้สึก”ที่ละเอียดอ่อนลึกซึ้ง อันสัมพันธ์อยู่กับคำสอนเรื่องศูนยตาหรือความว่าง และความกรุณาอันไพศาล
ในทางประวัติศาสตร์ โพธิจิตเป็นคำสอนของพุทธศาสนาฝ่ายมหายานและวัชรยาน พัฒนาขึ้นในฐานะรากฐานของการปฏิบัติธรรมทั้งหมด
โพธิจิตเป็นคำสอนเพื่อนำคนเข้าสู่ความเป็นพระโพธิสัตว์ และในวัชรยานถึงกับถือว่า ปราศจากโพธิจิตเป็นรากฐานการปฏิบัติก็ล้วนไร้ผล หรือนำไปสู่ความลวงหลอกทางจิตใจของผู้ปฏิบัติเอง
แม้โพธิจิตจะเป็นคำสอนที่ฝ่ายมหายานพัฒนาขึ้น แต่โพธิจิตไม่ใช่สมบัติของใคร ไม่ใช่แม้แต่สมบัติของพุทธศาสนา เพราะ โพธิจิตเป็นศักยภาพหรือเมล็ดพันธุ์ที่เราทุกคนมีอยู่แล้ว จึงเป็นสมบัติของมนุษย์ทุกคน
เพราะเรามีหัวใจไงละครับ และเรามีศักยภาพที่จะ “รัก”
โพธิจิตจึงไม่ใช่สิ่งที่ซับซ้อน เป็นศักยภาพของหัวใจเราที่จะรัก และรู้สึกถึงความทุกข์ของผู้อื่นหรือ “สรรพสัตว์”
เวลาใช้คำว่า “สรรพสัตว์” เราไม่เลือกนะครับ ทั้งผมและคุณประยุทธ์ก็เป็นสรรพสัตว์เสมอกัน และที่สำคัญเราก็ไม่อาจรู้จักหน้าค่าตาสรรพสัตว์ทั้งหมดด้วย
โพธิจิตจึงยิ่งใหญ่ เพราะเราสามารถรู้สึก “ร่วมทุกข์” กับสรรพสัตว์ทั้งหลายอย่างเท่าเทียม แม้จะไม่รู้จักกันเลย
โพธิจิตถูกเชื่อมโยงกับคำสอนเรื่อง “ศูนยตา”หรือ “ความว่าง” ในวัชรปรัชญาหฤทัยสูตร หรือพระสูตร “หัวใจ” อวโลกิเตศวรหรือพระโพธิสัตว์แห่งความกรุณาเทศน์เรื่องความว่างแทนพุทธองค์
น่าสังเกตว่าพระสูตรนี้เทศน์โดยพระโพธิสัตว์แห่งความกรุณานะครับ มันช่างเหมาะเจาะดีงามที่ตัวแทนความกรุณาของพระพุทธเจ้าทั้งหลายพูดเรื่องความว่าง ซึ่งเป็นเรื่อง ปรัชญาปารมิตา หรือ ปัญญาบารมี
เพราะมันงอกเงยออกมาจากผืนดินแห่งใจเดียวกัน สัมพันธ์กันอย่างแยกไม่ออก รวมเป็นหนึ่งเดียวกัน
รูปคือความว่าง ความว่างคือรูป แม้แต่ขันธ์ห้าก็ว่าง ไม่มีทั้งนิพพานและสังสารวัฏ ไม่มีการปฏิบัติและการไม่ปฏิบัติ
มันแปลว่าอะไรกันหนอ ทำไมอวโลกิเตศวรบอกว่าทุกสิ่งมันว่าง แล้วเราจะไปทางไหน เราจะทำยังไง
มิตรรักของผม คือวิจักษณ์ พานิช ตีความสิ่งที่อวโลกิเตศวรพูดว่า ความว่างในที่นี้หมายถึงความว่างจากการเข้าไปนิยามกำหนดความหมายไว้ล่วงหน้า
นิพพานจะต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้ ดี-ชั่วต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้ สุดท้ายทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสิ่งที่เรากะเกณฑ์เอาไว้ล่วงหน้าทั้งสิ้น แต่พระสูตรนี้เรียกร้องให้เราย้อนทวนกระแส เปิดพื้นที่ “ว่าง”และกลับมาใช้ “หัวใจ” ของเรา
พระสูตรนี้จึงชื่อ “หฤทัยสูตร” ไม่ใช่เพียงเพราะมันเป็นพระสูตรย่อ(ในธรรมเนียมแขกการเรียกว่า หัวใจ หมายถึงเน้นแต่ใจความสำคัญ) แต่เพราะมันเรียกร้องเราให้กลับไปใช้ “หัวใจ”ด้วย
โพธิจิตงอกเงยออกจากการไม่กำหนดไว้ล่วงหน้า เราแค่ “รู้สึก” ร่วมกับความทุกข์ ความอยุติธรรม การเบียดเบียนที่ผู้คนทั้งหลายกำลังเผชิญ
โพธิจิต จึงเปิดโอกาสให้เราเข้าไปสู่โลกนี้ ไปเกลือกกลั้วกับสังสารวัฏ ไม่รังเกียจสิ่งที่ “คนดี”รังเกียจ หรือคิดว่ามันไม่บริสุทธิ์สูงส่ง เช่น เรื่องการเมือง เรื่อง”สังคม เราไม่ผลักไสสิ่งเหล่านี้ออกไปจากวิถีการ”ปฏิบัติธรรม”ของเรา
เราไม่กลายเป็นศาสนิกชนผู้เย็นชาต่อความอำมหิต ที่เอาแต่พร่ำบ่นแผ่เมตตาโดยเป็นเพียงรูปแบบของพิธีกรรมที่ไร้ความรู้สึก
โพธิจิตจึงเปิดโอกาสให้เรา “รู้สึก”ได้ เราจึงเศร้าได้ โกรธได้ รักได้ แต่ในขณะเดียวกันก็คอยปกป้องเราจากความเกลียดชังเคืองแค้น
ด้วยเหตุนั้นโพธิจิตจึงดึงเราออกจากการปกป้องตนเอง หลายครั้งนำเราไปสู่ความสับสน อ่อนไหวและเปราะบาง
แต่ไม่มีสิ่งใดจะงดงามกว่านี้แล้วครับ แล้วเมื่อมีโพธิจิตแล้ว โพธิจิตจะนำทางเราเองว่าเราจะต้องทำอะไรต่อ
โพธิจิตจึงเป็นคำสอนที่สำคัญที่สุดในพุทธศาสนา เป็นสิ่งประเสริฐที่สุด เป็นสิ่งควรทำให้งอกเงย เป็นสิ่งควรภาวนาถึงและรักษาไว้
ปราศจากโพธิจิต การปฏิบัติทางศาสนาและการภาวนาทั้งหลายก็อาจนำเราไปสู่วัตถุนิยมทางจิตวิญญาน คือการนำรูปแบบการปฏิบัติ พิธีกรรม เพื่อส่งเสริมอัตตาของเรา เป็นกลเกมของอัตตาที่แยบยล ศีลธรรมกลายเป็นอาภรณ์ประดับตัวตน
ปราศจากโพธิจิต เราก็อาจกลายเป็นนักภาวนาผู้อำมหิต ขณะที่พร่ำพูดเรื่องบุญกุศลและความเมตตา เราก็ละเลยเมินเฉยต่อความทุกข์ยาก เรารังเกียจกิจกรรมทางการเมืองและคนทางการเมืองเพียงเพราะมันไม่ “บริสุทธิ์” เราปล่อยให้ความโหดร้ายดำเนินต่อไป ในขณะที่ใจเราร่มเย็นเป็นพอ
และที่น่าเศร้ากว่านั้น หลายครั้งเรากำลังเป็นส่วนหนึ่งของความอำมหิตนั้นเสียเองด้วย
ผมมิได้หมายความว่า เราจะต้องกลายไปเป็นกิจกรรมเพื่อสังคมไปทั้งหมดนะครับ อยากที่เขียนไว้ว่า อย่างน้อยเราควร “รู้สึก” และไม่นิ่งเฉย จากนั้นก็เป็นวิธีการที่แต่ละคนจะทำได้ในเงื่อนไขของตนเอง
ภายใต้บรรยากาศทางการเมืองตอนนี้ หลายคนเริ่มหันหลังให้โลก เข้าสู่การปฏิบัติธรรมที่แยกออกไป
แต่สถานการณ์ทางการเมืองในขณะนี้กลับเป็นห้วงเวลาที่แหลมคมอย่างยิ่ง และเป็นโอกาสของการปฏิบัติธรรมที่พิเศษสุด
เราจะฝึกใจในภาวะที่เราต้องเผชิญความทุกข์ของผู้คนและตนเองอย่างไร เราจะฝึกจิตใจต่อกระแสท่วมท้นของความเกลียดชังอย่างไร เราจะรู้สึกต่อความอยุติธรรมที่อยู่ตรงหน้าอย่างไร
ถ้านี่ไม่ใช่โอกาสในการฝึกฝนปฏิบัติใจ แล้วเมื่อไหร่คือโอกาส
ผมเพิ่งไปเยี่ยมเจ็ด “นักโทษประชามติ”กับกลุ่มคณาจารย์ ซึ่งน้องๆ เหล่านี้ล้วนแต่คนหนุ่มสาว ทำเพียงแค่การรณรงค์ภายใต้กรอบเกณฑ์ของกฏหมาย โดยเฉพาะในมาตรา 61
แต่ทำไมเขาถึงถูกจับทั้งๆที่ไม่ได้ทำผิดข้อกฏหมายประชามติ คุณสมชัยออกมาบอกเองว่า ไม่ผิดกฏหมายประชามติ ก็ให้ระวังกฏหมายอื่นของคสช. เช่น กฏหมายห้ามชุมนุมเกินห้าคน หรือมาตราครอบจักรวาลอย่างมาตรา 44
เขาเพียงแค่รณรงค์ให้คนไปลงประชามติอย่างสันติ ไม่บิดเบือน ไม่ก้าวร้าวรุนแรง หรือยุยง จึงไม่ขอประกันตัวและทนอยู่ในคุก
ผมมองใบหน้าน้องเหล่านั้น นั่นคือใบหน้าของประเทศชาติเราในอนาคต
แต่เป็นอนาคตของประเทศเรากำลังถูกกักขังในคุกอย่างไม่สมควรเลย
ภายใต้สภาพการณ์เช่นนี้ ภายในบรรยากาศแบบนี้
เราจะเปิดที่ว่างแห่งใจ เพื่อให้โพธิจิตของเรางอกเงยขึ้นมาได้อย่างไร