Devotion : ศรัทธาและการอุทิศตนในวัชรยาน

บทความโดย วรวรรณ จุลละโพธิ
ภาพประกอบโดย Nakkusu


“เมื่อวิทยาธรตรุงปะ รินโปเชเดินทางมายังตะวันตก เขาไม่ได้เรียกร้องหรือคาดหวัง การอุทิศตนจากนักเรียนของเขา แต่เขาพร่ำสอนอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเกี่ยวกับครูในสายธรรม และทำให้เห็นว่าการฝึกฝนอย่างจริงแท้เป็นการเชื่อมต่ออย่างลึกซึ้งกับสายธรรม อย่างค่อยไปเป็นไป ผ่านวันและเวลา เหมือนกับสายหมอกยามเช้าที่ปกคลุมเราในที่สุด นักเรียนของตรุงป่ะก็มีการอุทิศตนเกิดขึ้น…..

เรามาเข้าใจภายหลังว่า คำสอนจะหยั่งรากในหัวใจและในผืนดินตะวันตกได้นั้น ความสัมพันธ์ระหว่างครูและสายธรรมที่ยิ่งใหญ่เป็นเรื่องสำคัญที่ครูจะเห็นนักเรียนอย่างที่เขาเป็น และนักเรียนก็เชื่อมต่อกับสภาวะจิตและวิสัยทัศน์ที่กว้างใหญ่ของครู การสื่อสารเป็นคำสอนหลัก ณ ตรงนั้น….”

แปลจาก บทความเรื่อง “Lineage and Devotion” By Peter Volz on May 25, 2018

คำว่า “devotion” ใน Webster Dictionary แปลว่า “ความรัก ความซื่อสัตย์ หรือความกระตือรือร้นในคนคนหนึ่ง กิจกรรม หรือ เหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง” แต่ในยุคสมัย AI ที่ข้อมูลอะไรๆ ก็ได้มาง่ายแค่พิมพ์คำถาม เด็กรุ่นใหม่อาจจะคุ้นเคยกับคำว่า devotion ในรูปแบบของความหลงใหลได้ปลื้ม การทุ่มเทให้กับนักร้อง คนดัง หรือคนที่เราเทิดทูน หรือเป็นแฟนคลับต่างๆนานา เราสามารถอุทิศเวลา เงิน และพลังกายพลังใจในการติดตามคนผู้นั้นใน social media ในความเป็นจริง หรือเรา devote ให้กับนักการเมือง หรือพรรคการเมืองที่เราเชื่อและมีความหวัง ความศรัทธาว่าเค้าจะนำพาวิสัยทัศน์พัฒนาบ้านเมืองไปอย่างที่เราเชื่อ

แต่ในทางจิตวิญญาณ เวลาเรานึกถึงการอุทิศตน เรานึกถึงอะไร อุทิศตนให้ใคร หรือสิ่งใด สิ่งที่ใหญ่กว่าตัวเรา พลังอำนาจที่มองไม่เห็น คุรุในสายธรรมที่เป็นตัวบุคคล พระสงฆ์องค์เจ้าที่เป็นเกจิอาจารย์ ปรมาจารย์ที่ทำประโยชน์กับสังคมและมนุษยชาติ เวลาเราอุทิศตนให้กับใครหรือสิ่งใดมักบ่งบอกถึงสิ่งที่เราเชื่อ สิ่งที่เราเคารพและปรารถนาที่จะเอาเป็นแบบอย่าง เราสามารถบริจาคเงินทองทรัพย์สินเพื่อทะนุบำรุงศาสนสถานหรือสิ่งที่คนคนนี้สร้างขึ้น เราสามารถก้มหัว หรือก้มลงกราบบุคคลหรือปุชนียบุคคลท่านนั้น เราไม่มีข้อกังขาใดว่าเขาอยู่เหนือหัวเรา และสามารถบงการชีวิตเราได้ เช่นนั้นหรือ

คำว่า “devotion” ในภาษาทิเบต คือ mögu “mö” แปลว่า ปรารถนา, “gu” แปลว่า ยอมรับนับถือ ดังนั้น devotion นำพาการลดละตัวตนและความปรารถนารวมเข้าด้วยกัน การถ่อมตัวเป็นการลดละความหยิ่งผยองหรือถือตนสำคัญ ความปรารถนาคือ ความชื่นชม ความต้องการที่จะรวมสภาวะจิตเข้ากับคุรุ

เพม่า โชดรัน คุรุในสายธรรม ให้คำจำกัดความ การอุทิศตนว่า หมายถึง “ความอบอุ่นของหัวใจ ที่ไม่ใช่ความหลงไหลได้ปลื้มแบบไม่ลืมหูลืมตา แต่เป็นความรักอันลึกซึ้งและการเชื่อมต่อกับพลังงานครูและปัญญาญาณที่พวกเขาแสดงให้เห็น คำว่า การอุทิศตน เป็น แรงบันดาลใจอันเปี่ยมไปด้วยพลังในการฝึกฝนทางจิตวิญญาณ เป็นแรงกระตุ้นให้นักเรียนไปพ้นความกลัวและพัฒนาความกล้าที่จะเผชิญสถานการณ์ที่ยากลำบากและเชื่อมต่อกับความกล้าหาญที่ตนมีและความกล้าหาญของผู้อื่น”

สรุปจากหนังสือ “Places That Sacre You” โดย เพม่า โชดรัน

ความอบอุ่นของหัวใจที่ไม่ใช่ความหลงใหลได้ปลื้ม แต่เป็นการเชื่อมต่อกับสายธรรมอย่างนั้นหรือ การอุทิศตนที่ไม่ยึดติดกับตัวบุคคลหรือไม่มีเป้าหมาย เป็นไปได้อย่างไรกันนะ แล้วในฐานะนักเรียนในสายธรรม เราเคยใคร่ครวญประเด็นเหล่านี้หรือไม่ หรือนักเรียนคนหนึ่งที่ช้อปปิ้งทางจิตวิญญาณ เรายังไม่เคยมีความสัมพันธ์กับครูคนใดอย่างแท้จริงเลยเวลาเราไปสมัครคลาสเรียนภาวนา หรือคลาสทางจิตวิญญาณทั้งหลาย เราจะสัมพันธ์กับวิสัยทัศน์ที่กว้างใหญ่ของครูได้อย่างไร ดูเป็นเรื่องที่ไม่สามารถอัพโหลดข้อมูลจาก AI ได้เลย

“ในช่วงเวลาแห่งการอุทิศตน เราระลึกถึงปรมาจารย์และคุรุในสายการปฏิบัติของเราด้วยความจริงใจ ไม่ใช่ทำเพียงผ่านๆ เราคิดถึงคุณสมบัติอันยิ่งใหญ่ของพวกท่านทั้งหลายด้วยความชื่นชมยินดีอย่างแท้จริงและความทุ่มเทอุทิศตนจนปีติขนลุก ทั้งดวงตายังเปี่ยมไปด้วยน้ำตา ความซาบซึ้งนี้ควรมาจากใจจริงๆ เพราะด้วยความเมตตาปรานีของคุรุเท่านั้นที่ทำให้เราสามารถเข้าใจแก่นแท้ของจิตได้ จากความสำนึกคุณนี้ เราจะรู้สึกถึงความศรัทธาอันแรงกล้าซึ่งทำให้จิตใจของเราแจ่มแจ้ง วินาทีนั้น เราจะจดจำโฉมหน้าตามธรรมชาติของริกปะได้อย่างแน่นอนและไม่ผิดพลาด”

คัดมาจาก: “ทบทวนพระวจนะของพระพุทธเจ้า” โดยท่านตุลกุ อูร์เจ็น รินโปเช

การอุทิศตนที่มาจากการเชื่อมต่อและความสัมพันธ์ระหว่างครูกับศิษย์จะเป็นจริงได้อย่างไร เด็กรุ่นใหม่ไม่ได้สนใจอีกต่อไปแล้วว่า จะเรียนกับใคร มีครูคนไหน แต่กลับสนใจการเรียนรู้ไปเรื่อยๆ จากหลายๆ สำนักเพื่อการเติบโตทางจิตวิญญาณที่หลากหลาย โดยไม่ต้องเฉพาะเจาะจง หรืออุทิศตนให้กับใครสายใดเป็นเพิเศษ แล้วสายธรรมจะดำรงอยู่ต่อไปในโลกปัจจุบันอย่างไร ในยุคที่คนไม่สนใจที่จะมีครู และไม่ได้สนใจที่จะถ่ายทอดสายธรรม การปฏิบัติทางจิตวิญญาณกลายเป็นการเลือกซื้อแบรนด์ตามความพอใจส่วนตัว สะดวกกับชีวิต สะดวกกับใจ แล้วการอุทิศตนที่ไม่มีเป้าหมายคืออะไรกันแน่ คือ การอุทิศให้กับปรัชญา ความดีงาม ปรากฎการณ์ทั้งมวลที่สร้างแรงบันดาลใจกับเรา หรือ การช้อปปิ้งครูไปเรื่อยๆ โดยไม่มีจุดหมาย

เราไม่มีคำตอบใดๆ ให้กับกระแสวัตถุนิยมทางจิตวิญญาณในปัจจุบันที่มีให้เลือกมากมายหลากหลาย มีก็แต่สายธรรมที่สืบทอดส่งต่อกันมาอย่างไม่ขาดสาย ไม่ว่าเราจะมองเห็นหรือรู้สึกถึงหรือไม่ สิ่งที่เราไม่สามารถอัพโหลดข้อมูลจาก AI ได้ เราจำเป็นต้องเชื่อมต่อกับสภาวะจิตของครูเท่านั้น โลกแห่งวัชระจึงปรากฎ การสื่อสารที่แท้จริงระหว่างครูและศิษย์จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อศิษย์มองเห็นความหิวกระหายที่จะได้มากขึ้น และดียิ่งขึ้น หิวกระหายในสิ่งที่จะมาปรับปรุงชีวิตให้ดียิ่งขึ้นเสียก่อน

ดังนั้น เราอาจกล่าวได้ว่า แนวทางตันตระนั้นเป็นข้อความของคุรุที่สื่อผ่านมายังเรา เริ่มต้นด้วยความฉลาดก่อน แล้วก็แปรเปลี่ยนเป็นความชาญฉลาดของวัชระ ที่เริ่มที่จะจุดประกายความเฉลียวฉลาดของหัวใจไปด้วยกัน นับเป็นการรวมเข้าไว้ด้วยกันของอุดมคติพื้นฐานของปรัชญาและความว่าง ความเป็นหนึ่งเดียวกันของดวงตาและหัวใจ ในทุกๆ ครั้ง ปรากฏการณ์กลายเป็นคำสอนด้วยตัวของมันเอง ถึงจุดนี้ความไว้วางใจก็ใช้ไม่ได้อีกต่อไป

เราอาจจะถามว่า “ใครกันนะที่ไว้วางใจ? ไม่มีใครน่ะสิ! ความไว้วางใจเป็นความไว้วางใจด้วยตัวของมันเอง วงล้อของพลังงานที่เกิดขึ้นด้วยตัวของตัวเอง ไม่ได้ต้องรักษาเอาไว้ด้วยสิ่งใดใดเลย พลังงานรักษาตัวของมันเอง พื้นที่ว่างไม่ได้มีขอบหรือจุดตรงกลาง แต่ละมุมของพื้นที่เป็นส่วนกลางและเป็นขอบในระยะที่เท่าๆกัน ถือเป็นการอุทิศตนที่ก้าวผ่านทุกขอบเขต ที่ที่ผู้อุทิศตนไม่ได้แยกจากจากสิ่งที่เขาอุทิศตนให้ แต่ก่อนที่เราจะซาบซึ้งกันไปมากมายกับภาษาที่น่าตื่นเต้นและลึกลับ เราต้องเริ่มจากความง่ายที่สุดก่อนด้วยการให้ การเปิดออก การปล่อยให้อีโก้ของเราออกมา ให้ของขวัญตัวตนของเรากับเพื่อนทางจิตวิญญาณ ถ้าเราไม่สามารถทำเช่นนี้ได้ เส้นทางก็จะไม่สามารถเริ่มต้นได้เพราะไม่มีใครเดินบนหนทาง คำสอนมีอยู่แล้ว แต่ผู้ฝึกปฏิบัติต้องรับรู้ในคำสอนนั้น ผู้ฝึกจะต้องดำรงอยู่ด้วยคำสอนนั้น

– เชอเกียม ตรุงปะ –

ที่มา : “Devotion, Collected Works of Chogyam Trungpa” Vol 3, Shambhala Publications.

สถาบันวัชรสิทธา ก่อตั้งขึ้นเพื่อเป็นพื้นที่ทดลองทางการศึกษา บนพื้นฐานของการภาวนา การใคร่ครวญด้วยใจ และการแลกเปลี่ยนประสบการณ์อย่างเป็นมนุษย์ระหว่างผู้เรียน