บทความโดย จอห์น เคน
แปลและเรียบเรียงโดย ทีมงานวัชรสิทธา
การกินในปริมาณที่พอดี : ศิลปะโบราณของญี่ปุ่นในการรับประทานอาหารแบบโอริโยกิ เปิดเผยรูปแบบและจุดติดขัดในจิตใจเรา
โอริโยกิ (Oryoki) แปลว่า “พอดีเป๊ะ” หรือ “ในปริมาณที่พอดี” คือพิธีกรรมอันปราณีตของการเสิร์ฟและรับประทานอาหาร — เป็นระบำเชิงพิธีแห่งการให้ การรับ และการสำนึกในคุณค่า เป็นการปฏิบัติที่ได้รับการจัดระเบียบขึ้นในประเทศจีนในสมัยราชวงศ์ถัง และเป็นต้นแบบของความงามสง่าอันอ่อนช้อยในพิธีชงชา
ศิลปะนี้ได้รับการปฏิบัติอยู่ทั่วไปในหมู่สำนักเซน โดยมีรายละเอียดแตกต่างกันเล็กน้อย และยังถูกนำมาใช้ในอเมริกาโดยเชอเกียม ตรุงปะ รินโปเช ผู้ก่อตั้งศูนย์ปฏิบัติธรรมชัมบาลา
ในทางปฏิบัติแล้ว โอริโยกิอาจเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุด งดงามที่สุด และสิ้นเปลืองน้อยที่สุดในการให้อาหารแก่ผู้คนจำนวนมากที่นั่งอยู่ในห้องภาวนา — หรือแม้แต่สำหรับคนเพียงคนเดียวที่บ้านก็ได้ ทว่าในความหมายเฉพาะตัว และจากแนวคิดของเซนที่ยืนยันว่าศักดิ์สิทธิ์และสามัญควรถูกรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน — โอริโยกิทำให้ชีวิตประจำวันและ “การปฏิบัติทางจิตวิญญาณ” กลมกลืนเป็นเนื้อเดียวกัน มันคือสภาวะแห่งจิต และเป็นวิถีแห่งการดำรงอยู่
การปฏิบัติโอริโยกิใช้ชุดภาชนะที่เรียกว่า จิฮัตสึ (jihatsu) ซึ่งเป็นชุดชามที่ซ้อนกันได้ โดยมี “ชามพุทธะ” หรือ ซุฮัตสึ (zuhatsu) เป็นชามใหญ่สุด บรรจุชามเล็กอีกสามหรือสี่ใบไว้ภายในทั้งหมดผูกไว้ด้วยผ้าผืนหนึ่งซึ่งมัดเป็นปมด้านบนคล้ายดอกบัว ภายในชุดนี้ยังมีถุงผ้าแคบๆ ที่บรรจุช้อนไม้ ตะเกียบ และไม้พายเล็กๆ เรียกว่า เซ็ตสึ (setsu) ใช้สำหรับขูดทำความสะอาดชาม ผ้าห่อชามเมื่อคลี่ออกและพับในลักษณะเฉพาะจะกลายเป็นผ้าปูรองสำหรับวางชามตามลำดับที่กำหนดไว้ เพื่อให้ครบชุด ยังมีผ้าเช็ดปากอีกสองผืน — ผืนใหญ่หนึ่งสำหรับเช็ดทั่วไป และผืนเล็กสำหรับเช็ดชามให้แห้ง หลังจากล้างด้วยน้ำร้อนและขูดด้วยไม้เซ็ตสึ
ผู้ร่วมพิธีจะนั่งในท่าภาวนาและรอ เพื่อยื่นชามว่างให้ผู้เสิร์ฟ ซึ่งจะตักอาหารมาและเติมลงในชามตามระดับที่ขอไว้ ผ่านชุดท่าทางมือ (นอกเหนือจากบทสวดอุทิศและคำขอบคุณแล้ว พิธีโอริโยกิทั้งหมดจะทำในความเงียบ) ระบบนิเวศของโอริโยกินั้นสมบูรณ์แบบ — ไม่มีของเหลือทิ้ง ผู้ร่วมพิธีจะได้รับการเตือนให้ตักอาหาร “ในปริมาณที่พอดี” — ไม่ควรเหลือแม้แต่เศษหนึ่งชิ้น น้ำที่ใช้ล้างชามหลังจากรับประทานจะถูกดื่มบางส่วน ส่วนที่เหลือจะถูกรวบรวมไว้และนำไปเทในสวน ทุกการเคลื่อนไหวของโอริโยกินั้นกระชับ ละเอียดอ่อน และออกแบบให้เคลื่อนไปอย่างกลมกลืน ต้องอาศัยการตระหนักรู้ในสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าอย่างพิถีพิถัน

สำหรับผู้เริ่มต้น การก้าวเข้าสู่ระบำนี้อาจน่าหวาดหวั่น ผู้ปฏิบัติเซนและนักเขียน ลอว์เรนซ์ เชนเบิร์ก กล่าวถึงประสบการณ์แรกของเขากับโอริโยกิไว้ในหนังสือ Ambivalent Zen ว่า
“ยิ่งพยายามเท่าไร ฉันก็ยิ่งงุ่มง่ามมากขึ้นเท่านั้น มันอาจจะมีเหตุผลในตัว แต่นี่มันช่างเป็นฝันร้าย พิธีกรรมนี้เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของความสามารถอันไร้ขอบเขตของเซนในการทำให้สิ่งธรรมดากลายเป็นเรื่องซับซ้อน”
เรื่องเล่าขำขันเกี่ยวกับโอริโยกิมีอยู่มากมายในวงการเซน ฉันเคยเห็นลูกศิษย์ตักอาหารมากเกินไป (ซึ่งเป็นความผิดพลาดแบบคลาสสิก) แล้วพอรู้ว่าจะกินไม่ทันกับคนอื่นก็แอบยัดอาหารส่วนเกินไว้ในแขนเสื้อของจีวร เคยมีผู้เสิร์ฟทำอาหารหกใส่ศีรษะคนอื่น ชามปลิวกระเด็น เกิดศึกอาหารย่อมๆ หรือบางครั้งเสียงหัวเราะคิกคักก็แพร่ไปทั่วทั้งเซนโด (ห้องภาวนา)
โอริโยกิไม่ได้เกี่ยวกับการดำรงอยู่ในสภาวะ “สมบูรณ์แบบ” แบบใดๆ ไม่ได้เกี่ยวกับการแสดง หรือแม้แต่เรื่องของรายละเอียดเลย — มันคือชีวิตของเราเอง โอริโยกิค่อยๆ เผยให้เห็นรูปแบบและจุดติดขัดในจิตและพฤติกรรมของเรา ดังที่โซเค็ตสึ นอร์แมน ฟิชเชอร์ ครูธรรมะอาวุโสแห่งศูนย์เซนซานฟรานซิสโก และผู้ก่อตั้งมูลนิธิ Everyday Zen กล่าวไว้ว่า
“ความเข้มข้นของการฝึกโอริโยกินั้นทำให้เราได้เห็นแนวโน้มของตัวเองในการกินและการเสิร์ฟอาหาร คนกินอาจขออาหารมากเกินไป ส่วนคนเสิร์ฟอาจตักให้น้อยเกินไป — ความโลภและความตระหนี่จึงผุดขึ้นมา การปฏิบัติโอริโยกิพัฒนาเมตตา ความชัดเจน และความรู้สึกไม่มากเกินหรือน้อยเกินไป สอนความลื่นไหล ประสิทธิภาพ และการกระทำด้วยใจที่ดีงาม”
เมื่อความงุ่มง่ามในช่วงแรกหมดไป โอริโยกิก็จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิบัติพุทธะที่มีชีวิตชีวาอย่างน่าประหลาด แม้รูปแบบของโอริโยกิจะเคร่งครัดและแม่นยำ แต่ก็อาจมองได้ว่า “ไร้รูปแบบ” เช่นกัน — มันเป็นเพียงภาชนะที่เราหล่อเทตัวตนของเราเข้าไป เซนเซ แพท เอ็นเคียว โอฮาระ เจ้าอาวาสวิลเลจเซนโด ในนิวยอร์ก เคยบอกฉันว่า
“ฉันจำได้ครั้งหนึ่งที่มองลงไปยังผ้าปูและชามของตัวเอง แล้วเห็นว่าจิตฉันยุ่งเหยิงแค่ไหน ทุกอย่างกระจัดกระจายไปหมด มันแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนตรงหน้าเลยว่าสภาพจิตของฉันตอนนั้นเป็นอย่างไร และฉันชอบสิ่งนั้นมาก เพราะมันโปร่งใสเหลือเกิน”
เรานำทุกสิ่งที่อยู่ในจิตของเรามาสู่โอริโยกิ แต่เพราะร่างกายของเรามีสิ่งที่ต้องทำอย่างเฉพาะเจาะจง — การคำนับ การสวด การวางตะเกียบอย่างถูกต้อง — จิตที่ฟุ้งซ่านของเราจึงยากที่จะติดอยู่ที่สิ่งใดสิ่งหนึ่งนานๆ นักเขียนและผู้ปฏิบัติเซนมาอย่างยาวนาน นาตาลี โกลด์เบิร์ก ผู้เขียน Writing Down the Bones และผลงานอื่น ๆ เคยกล่าวว่า
“ฉันชอบโอริโยกิมาก — เพราะในที่สุดก็มีอะไรบางอย่างที่เป็นระเบียบเสียที”

โอริโยกิ คือบทภาวนา — พิธีกรรมที่ทำให้สิ่งที่มองไม่เห็นกลายเป็นสิ่งที่มองเห็นได้ ฮาคุยุ ไทซัน มาเอซูมิ โรชิ ผู้ก่อตั้งศูนย์เซนแห่งลอสแอนเจลิส และเป็นบุคคลสำคัญในพุทธศาสนาอเมริกัน ได้ย้ำถึงจุดนี้ไว้บ่อยครั้ง ในหนึ่งในคำสอนของท่านที่รวมไว้ในหนังสือ On Zen Practice ท่านกล่าวว่า
“แต่เราไม่ควรคิดว่าโอริโยกินั้นหมายถึงเพียงชามอาหารเท่านั้น ในความหมายที่ลึกซึ้งกว่านั้น โอริโยกิคือภาชนะของตถาคต เราสามารถชื่นชมทุกสิ่งได้ในฐานะที่เป็นภาชนะแห่งพุทธะ เราเองก็คือโอริโยกิ ไม่เพียงแต่เราเท่านั้น แต่รูปเคารพของพุทธะก็เช่นกัน เชิงเทียน แจกัน เสื่อ หมอน ฟ้า เพดาน — แต่ละสิ่งล้วนบรรจุทุกสิ่งไว้อย่างสมบูรณ์ ทั้งหมดนั่นแหละคือโอริโยกิ”
รากของโอริโยกิย้อนกลับไปถึงสมัยพระพุทธเจ้าและเหล่าพระภิกษุจาริกผู้ครองเพียงจีวรและบาตรเท่านั้น จีวรเป็นสัญลักษณ์ของสิ่งภายนอก (เครื่องนุ่งห่มและที่พักอาศัย) ส่วนบาตรเป็นสัญลักษณ์ของสิ่งภายใน — ผ่านการรับอาหาร เพื่อแสดงถึงการดำรงชีวิต แม้กระทั่งทุกวันนี้ จีวรและบาตรก็ยังเป็นสิ่งที่พระอาจารย์มอบให้ศิษย์ในพิธีถ่ายทอดธรรมะ การรับอาหารในปริมาณที่พอดี ดังที่พระพุทธเจ้าค้นพบ เป็นหัวใจของการปฏิบัติ “มัชฌิมาปฏิปทา”
ในพระสูตร วิมลเกียรตินิเทศสูตร (Vimalakirtinirdesha Sutra) ได้กล่าวไว้ว่า
“เมื่อบุคคลรู้แจ้งในการกิน สรรพสิ่งทั้งปวงก็รู้แจ้งด้วยเช่นกัน หากธรรมทั้งหลายไม่สอง บุคคลในการกินก็ไม่สองเช่นกัน”
เมื่อพุทธศาสนาเดินทางจากอินเดียเข้าสู่จีน อิทธิพลทางวัฒนธรรมบางอย่างก็ได้เปลี่ยนแปลงวิถีการปฏิบัติของพุทธศาสนา ในจีน ผู้ขอทานมักถูกดูหมิ่น ดังนั้นยุคของพระจาริกจึงสิ้นสุดลง พระภิกษุจึงถูกส่งเสริมให้ทำงาน เกิดการสร้างวัดขึ้น การภาวนาเป็นหมู่คณะจึงกลายเป็นหลักแทนการภาวนาแบบลำพัง ทันใดนั้นก็มีปากมากมายต้องเลี้ยงดู และระบบการกินที่มีประสิทธิภาพตรงต่อเวลาได้ถือกำเนิดขึ้นพร้อมกับกฎระเบียบที่กำหนดชีวิตของผู้ฝึกปฏิบัติในส้งฆะ
ระบบนี้ส่วนใหญ่ยังคงมีอยู่ในวัดเซนปัจจุบัน ชิ โดเก็น เซนจิ (Dogen Zenji) ปรมาจารย์นักภาวนาชาวญี่ปุ่นในศตวรรษที่ 13 และผู้หว่านเมล็ดให้กับสำนักโซโตะ (Soto) ของเซน ได้พบกับระเบียบเหล่านี้ในระหว่างที่พำนักอยู่ในจีนสี่ปี เมื่อกลับญี่ปุ่น ท่านได้ปรับปรุงกฎเหล่านั้นให้ละเมียดละไมและแฝงด้วยปัญญาลึกซึ้ง พิธีการกินภายใต้ท่านโดเก็นจึงกลายเป็น “โอริโยกิ” ท่านเขียนไว้ว่า
“ในขณะที่เรากินอยู่นั้นเอง เราก็เป็นหนึ่งเดียวกับสัจธรรมสูงสุด แก่นแท้ สาระ พลัง การกระทำ และเหตุปัจจัย ดังนั้น ธรรมะคือการกิน และการกินก็คือธรรมะ”
โดเก็นแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า การกิน — ความปรารถนาและความจำเป็นในการหล่อเลี้ยงชีวิต รวมถึงความรู้สึกสุขอันอ่อนโยนจากอาหาร — มิได้เป็นสิ่งตรงข้ามกับการปฏิบัติทางจิตวิญญาณเลย โอริโยกิไม่ได้เกี่ยวกับการปฏิเสธ ตรงกันข้าม ในหนังสือ Thank You and OK บันทึกความทรงจำของเดวิด แชดวิก เกี่ยวกับช่วงเวลาสี่ปีในญี่ปุ่น เขาเขียนว่า
“การใช้โอริโยกิทำให้ประสบการณ์ของการกินเข้มข้นขึ้น มันทำให้เราซูมเข้าไปใกล้อาหารนั้นจริง ๆ ตามคำสอนเรื่อง ‘เพียงแค่นั่ง’ ‘เพียงแค่ทำงาน’ โอริโยกิช่วยให้เราไม่กระโจนใส่มื้ออาหาร แต่ก็ไม่ปฏิเสธมันเช่นกัน แค่กินมัน และแค่ชื่นชมมันเท่านั้น”
เราต้องไม่ลืมด้วยว่า เมื่อเรากิน เราก็กำลังรับเอาชีวิตเข้ามา จอห์น ไดโดะ ลูริ โรชิ เจ้าอาวาส Zen Mountain Monastery และผู้ก่อตั้งนิกาย “ภูเขาและสายน้ำ” เขียนไว้ในหนังสือ Celebrating Everyday Life ว่า
“โอริโยกิไม่ใช่แค่รูปแบบพิธีกรรมที่กำหนดไว้เท่านั้น มันคือสภาวะแห่งจิต ไม่เกี่ยวกับการสวด การคำนับ หรือระฆังเลย มันคือสภาวะแห่งการรู้ตัว เพราะอาหารคือชีวิต จึงสำคัญที่สุดที่เราจะต้องรับมันด้วยความรู้คุณอย่างลึกซึ้ง เมื่อเรากิน เรากำลังบริโภคชีวิต ไม่ว่าจะเป็นผักกะหล่ำหรือวัว มันคือชีวิตทั้งนั้น”
