Solitary Retreat : ทำไมการเข้า “โซโล่ รีทรีท” จึงมีความสำคัญต่อเส้นทางจิตวิญญาณ

บทความโดย วิจักขณ์ พานิช


1. Solo Retreat เป็นช่วงเวลาเรียนรู้ตัวเองที่เข้มข้น เรามีเวลาในการภาวนาเต็มที่ ได้ทบทวนคำสอน-เทคนิคการปฏิบัติที่เรียนรู้มา เอามาฝึกเอง ทดลองเอง อย่างต่อเนื่องจริงจัง เพื่อที่จะค้นพบความเข้าใจในประสบการณ์ของตัวเองอย่างแท้จริง บ่อยครั้งที่เราใช้เวลาในการเรียนจากคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นการฟัง อ่าน หรือคิดตาม แต่การได้มีโอกาสปลีกตัวเองเพื่อมาเผชิญและเรียนรู้ปรากฏการณ์ในจิตใจของตัวเองอย่างต่อเนื่อง ถือเป็นกระบวนการที่เข้มข้นยิ่งกว่า

2. Solo Retreat เป็นช่วงเวลาของการสัมพันธ์กับธรรมชาติที่ไม่ปรุงแต่ง ทั้งสิ่งแวดล้อมที่เป็นธรรมชาติ ความสงัด ลมฟ้าอากาศ ฤดูกาล เราได้สัมพันธ์กับธาตุตามธรรมชาติของ สายลม สายฝน แสงแดด ผืนดิน ผืนฟ้า ต้นไม้ และสัมพันธ์อยู่กับธรรมชาติของความวิเวกสงัด การได้ลดทอนความซับซ้อนมาสัมพันธ์กับความว่างตามธรรมชาติเช่นนี้ จะช่วยให้เราเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น รับรส สัมผัส และรู้สึก ได้ชัดเจนขึ้น แจ่มชัดในใจขึ้น สิ่งที่เราไม่เคยเห็น ไม่เคยรับรู้ ไม่เคยสัมผัส จะคลี่เผยชัดในใจยิ่งขึ้น

3. Solo Retreat เป็นช่วงเวลาของการกลับสู่วินัยในตัวเอง (self discipline) เป็นช่วงเวลาของการฝึกที่จะอยู่กับความเรียบง่ายและกิจวัตรประจำวันที่ปราศจากสิ่งเร้าหรือความบันเทิงภายนอก วินัยของการฝึกปฏิบัติจะช่วยให้เราได้เผชิญกับอารมณ์, นิสัย, ความเคยชิน, ความกลัว, ความเจ็บปวด, ความทุกข์ ที่ปกติเรามักหลบเลี่ยงที่จะเจอกับมันตรงๆ แล้วปล่อยให้มันมีอิทธิพลเหนืออิสรภาพในชีวิตเรา

4. Solo Retreat เป็นช่วงที่ผู้ปฏิบัติธรรมฆราวาส สัมพันธ์กับการสละละวาง (renunciation) ซึ่งถือเป็นหัวใจของเส้นทางจิตวิญญาณ เป็นช่วงเวลาที่ฆราวาสได้ “สวิทช์โรล” เป็นนักบวช เพื่อเชื่อมต่อกับเป้าหมายสูงสุดแห่งการหลุดพ้น และทบทวนถึงสิ่งที่ตนยืดถือ ยึดมั่น ปล่อยวางหรือให้อภัยไม่ได้ และทำงานกับข้อจำกัด อคติ หรือทิฐิมานะทั้งหลายเหล่านั้นที่กั้นขวางเราจากอิสรภาพและการเติบโตทางจิตวิญญาณ

5. Solo Retreat เป็นการเพิ่มพูนศรัทธาและการอุทิศตน (devotion) เราได้ตระหนักถึงความทุกข์ของสภาวะจิตใจแบบ samsaric mind ที่ถูกขับเคลื่อนด้วยความคิดตายตัวและความสับสน และบ่มเพาะประสบการณ์ของ enlightened mind ที่เปิดกว้าง เป็นอิสระ และตื่นรู้ ประสบการณ์การภาวนาที่เข้มข้นในรีทรีทนี้เพิ่มพูนศรัทธาและการอุทิศตนที่มีต่อ enlightened mind, enlightened beings และ enlightenment บนเส้นทางจิตวิญญาณ


6. Solo Retreat เป็นการทำงานกับแนวโน้มวัตถุนิยมทางจิตวิญญาณ (spiritual materialism) ที่มีอยู่ในคนทุกคน นั่นคือการใช้คำสอนและการปฏิบัติทางจิตวิญญาณเพื่อเสริมสร้างอัตตาตัวตน การเข้ารีทรีทจะทำให้เราเห็นกลไกทางความคิดที่นำไปสู่การหลอกตัวเองชัดเจนขึ้น ไม่ว่าจะเป็นความคาดหวังว่าการฝึกปฏิบัติทางจิตวิญญาณจะช่วยพาเราไปสู่สิ่งที่ดีกว่า เช่น เป็นคนดีขึ้น ได้เจอสภาวะจิตที่สูงขึ้น หน้าผ่องใสขึ้น หรือมีผู้คนนับถือศรัทธามากขึ้น หรือการไม่ยอมศิโรราบที่เผชิญกับประสบการณ์ที่เราอาจปฏิเสธหรือไม่ชอบในตัวเอง เป็นต้น

7. Solo Retreat เป็นช่วงเวลาของการเยียวยา เวลาได้ยินคำว่า “โซโล่รีทรีท” เราอาจเข้าใจว่าเป็นการภาวนาตัวตนเดียว หลีกเร้นออกจากผู้คน แต่พอได้ลองจริง เราจะพบว่า ในรีทรีทเราพาทุกคนในชีวิตเข้ารีทรีทไปกับเราด้วย หากการภาวนาที่เราฝึกปฏิบัติ embodied พอ จะเป็นโอกาสที่เราเชื่อมต่อกับ universal unconscious ที่ถักทอเราเข้ากับทุกผู้คนในชีวิตอย่างไม่อาจแยกขาดจากกันได้ รีทรีทจะเป็นโอกาสให้เราตระหนักรู้ในข่ายใยของความสัมพันธ์ เปิดกว้าง อ่อนโยน ปลดปล่อย ขอบคุณ ขออภัยและให้อภัย สิ่งที่ติดค้างกับผู้คนในชีวิต

8. Solo Retreat เป็นพื้นที่ของการสารภาพ (confession) และชำระล้างข้อผิดพลาด (purification) สัมพันธ์กับความอ่อนนุ่มและเปราะบางของหัวใจ อันเป็นต้นกำเนิดแห่งความรักและความงดงามของความเป็นมนุษย์

9. Solo Retreat เป็นการฝึก gratitude ต่อสถานการณ์ที่เราได้มาพบเจอกับคำสอนและฝึกปฏิบัติ และตระหนักว่า ณ จุดที่เรายืนอยู่บนเส้นทาง มีความสมบูรณ์แบบเหมาะเจาะต่อเรา เรารู้สึกขอบคุณการมีชีวิตอยู่และขอบคุณสถานการณ์ชีวิตทั้งหมด ที่กำลังเกื้อหนุน ส่งเสริมให้เราปลดปล่อยตัวเองสู่การหลุดพ้น



10. Solo Retreat เป็นการตอกย้ำ หรือทบทวนปณิธาณต่างๆ ที่เราตั้งใจไว้ สำหรับผู้ที่รับศีล เช่น ไตรสรณคมณ์ ศีลโพธิสัตว์ หรือศีลสมายะ ถือเป็นช่วงเวลาที่เราจะได้กลับมาเชื่อมต่อกับ Life Mission หรือปณิธานเหล่านั้นอย่างแน่วแน่อีกครั้ง

11. Solo Retreat เป็นช่วงเวลาลงลึกกับการปฏิบัติที่ต้องอาศัยเวลาและความต่อเนื่อง (เช่น การฝึกบทสาธนา โยคะขั้นสูง หรือการทำ ngondro ในสายปฏิบัติวัชรยาน) แม้เราจะสามารถปฏิบัติในชีวิตประจำวันได้ แต่หากมีเวลาที่มากขึ้นและทำต่อเนื่องได้ยาวนานขึ้น ก็เหมือนมีช่วงเวลาของการเคี่ยว การบ่ม ที่นานขึ้น ซึ่งก็จะส่งผลต่อการทำงานกับตัวตนในชั้นที่ลึกขึ้นตามไปด้วย

12. Solo Retreat เป็นโอกาสในการทบทวนคัมภีร์, คำสอน, ชีวประวัติของครูบาอาจารย์อย่างลึกซึ้ง ในบรรยากาศและบริบทของการเดินทางแห่งจิตวิญญาณที่เข้มข้นและได้รับการโอบอุ้มในรีทรีท ที่โดยปกติเราอาจไม่มีเวลา มีสมาธิจดจ่อ หรือมีประสบการณ์ร่วมได้มากเท่าเวลาอยู่ในรีทรีท

13. Solo Retreat เป็นช่วงเวลาของการตายของตัวตน เราอนุญาตให้ตัวตนของเราถูกต้อนให้จนมุม ถูกดึงพรมออกจากใต้เท้า ถูกเหวี่ยงออกจาก comfort zone ข้ามขอบหรือที่มั่นที่เราใช้ซ่อนตัว เราพร้อมที่จะถูกเปิดโปงด้วย awareness และแสงสว่าง พร้อมตายจาก small self เพื่อเชื่อมโยงกับ “จิตธรรมดา” ซึ่งดำรงอยู่ในสรรพสิ่ง

14. Solo Retreat เป็นโอกาสในการฝึก offering ทั้งการมอบถวายเครื่องบูชาภายนอกที่เรายึดมั่น เช่น เงินทอง ความสะดวกสบาย ครอบครัว ความสัมพันธ์ คนรัก หน้าที่การงาน หรือการมอบถวายเครื่องบูชาภายใน อันได้แก่ sense perception อัตตาตัวตน ความรู้ ปัญญาญาณ และประสบกาณ์สุขทุกข์ทั้งหมด ให้แก่สายธรรมและครูบาอาจารย์


15. Solo Retreat เป็นโอกาสให้เราสื่อสารสัมพันธ์กับ unseen world หรือ sacred world – ปัญญาญาณจากโลกที่มองไม่เห็น พรธรรมในสายปฏิบัติ เราตั้งจิตอธิษฐานให้ครูช่วยสั่งสอนเรา ดูแลเรา ซึ่งช่องทางการสื่อสารนี้จะเปิดกว้างมากและเข้มข้นมากในโซโล่รีทรีท

16. Solo Retreat เป็นช่วงที่ผู้ปฏิบัติจะได้ฝึกอยู่กับร่างกายในฐานะปัญญาญาณและมณฑลแห่งการตื่นรู้อย่างเต็มที่ ลึกไปถึงการเชื่อมต่อกับ Alaya Vijnana หรือ อาลัยวิญญาณ และยังเป็นการดูแล ปัดกวาด ทำความสะอาด ให้ร่างกายได้พักผ่อนเพียงพอ กินอาหารที่ดี และได้ออกกำลังกายการตระหนักรู้ทั้งทางร่างกายและจิตใจ

17. Solo Retreat เป็นโอกาสในการบ่มเพาะความอ่อนโยนและความกรุณาต่อตนเองและผู้อื่น เป็นช่วงเวลาในการเชื่อมต่อกับอารมณ์ความรู้สึกทางจิตวิญญาณบนประสบการณ์ที่จริงแท้ของความเป็นมนุษย์ เพิ่มพูนความหนักแน่นมั่นคงในปณิธานของการช่วยเหลือและสัมพันธ์กับเพื่อนมนุษย์และสรรพสัตว์ทั้งปวงโดยไม่มียกเว้น

18. Solo Retreat เป็นโอกาสในการเจริญมรณานุสติ หรือในพุทธศาสนาวัชรยาน คือการใคร่ครวญ “ข้อเตือนใจสี่ประการ” เพื่อคงไว้ซึ่งความไม่ประมาท ข้อเตือนใจทั้งสี่ประกอบด้วย 1. การเกิดมาเป็นมนุษย์นี้ที่มีค่าและเกิดขึ้นได้ยาก (Precious Human Birth) 2. ความไม่แน่นอนและความไม่เที่ยงของชีวิต (Impermanence) 3. ทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนประกอบขึ้นจากเหตุปัจจัยและกรรม และทุกการกระทำย่อมมีผลตามมา (Karma) และ 4. ความทุกข์และความสับสนในสังสารวัฎนั้นมีอยู่จริง และเป็นสิ่งที่ไม่น่าพิสมัย และเส้นทางหลุดพ้นออกจากจิตแบบสังสารวัฏก็มีอยู่จริงเช่นกัน นั่นคือหนทางการภาวนา

19. Solo Retreat เป็นโอกาสในการขีดเขียน, บันทึก, สะท้อน, ใคร่ครวญ ประสบการณ์หรือปัญญาญาณอันสดใหม่ ที่ “ปิ๊งแว๊บ” ขึ้นมาในรีทรีท ซึ่งเรารู้สึกได้ว่าเป็นสิ่งใหม่ มุมใหม่ หรือความเข้าใจใหม่ ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

20. Solo Retreat เป็นช่วงเวลาของการเชื่อมต่อกับครู ค้นพบความหมายของครูในทางจิตวิญญาณ ทั้งที่เป็นตัวบุคคล สะท้อนอยู่ในทุกผู้คน และไปพ้นตัวบุคคล ตระหนักว่า “ครูอยู่กับเราเสมอ” ในทุกสภาวะอารมณ์ ทุกเหตุการณ์ ทุกสถานการณ์ และทุกผู้คน – เราเชื่อมต่อสื่อสารกับพลังของครู พุทธะ โพธิสัตว์ ยิตัม ฑากิณี ธรรมบาล อย่างใกล้ชิดด้วยการตั้งจิต อธิษฐาน ร่วมถึงการมอบเครื่องถวายต่างๆ กระทั่งเราเป็นส่วนหนึ่งของมณฑลแห่งความรัก หรือโลกอันศักดิ์สิทธิ์นั้น อันเป็นภาพสะท้อนของจิตใจอันศิโรราบ เปิดกว้าง เป็นอิสระ อ่อนโยน และตื่นรู้