ความตายและความไม่เที่ยง : ข้อเตือนใจสำคัญบนเส้นทางจิตวิญญาณ

เรจินัลด์ เรย์
แปลจากหนังสือ Indestructible Truth โดย ทีมงานวัชรสิทธา


ในวัฒนธรรมสมัยใหม่ ตั้งแต่เด็กจนโต เราได้รับการปลูกฝังให้ไม่คิดหรือรับรู้ถึงเรื่องของความตาย วัฒนธรรมของเราหมกมุ่นอยู่กับความเยาว์วัย ความสวยงาม และเรื่องวัตถุ ซึ่งถูกขับเคลื่อนโดยโฆษณาและการบริโภคภายใต้เศรษฐกิจแบบสมัยใหม่ สิ่งเหล่านี้นำเราไปสู่มุมมองว่าโรคร้ายแรง ความแก่ชรา และความตาย ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของอนาคตเรา ความตายถูกซ่อนเร้นไปจากการถูกมองเห็น มันกลายเป็นเรื่องเล็กน้อย หรือบางทีก็ถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นสิ่งบันเทิงที่สูบฉีดอะดรีนาลีนเพียงเพื่อหล่อเลี้ยงปีศาจแห่งบริโภคนิยม ไม่ว่าอย่างไร ข้อเท็จจริงที่ว่าเราทุกคนกำลังเผชิญหน้าอยู่กับความตายไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป ชักดุด ตุลกู สอนให้เราใคร่ครวญอยู่เสมอว่ามนุษย์ทุกคนจะต้องตายในอีกไม่ช้า และจะไม่มีใครสามารถนำสิ่งใดติดตัวไปด้วยได้เลย ไม่ว่าจะเป็นตัวตนของเขา ทรัพย์สมบัติ หรือความสำเร็จต่างๆ

นับจากปัจจุบันไปอีกราว 100 ปี เราทุกคนที่กำลังมีชีวิตอยู่บนโลก ณ ขณะนี้ ก็จะต้องตายลง ในกรณีของปัจเจกบุคคล อาจมีความแตกต่างกัน แต่แน่นอนว่าวันนั้นย่อมจะต้องเดินทางมาถึง ซึ่งสำหรับพวกเราบางคน ลมหายใจสุดท้ายอาจไม่ได้อยู่ไกลเท่าไรนัก หลังจากที่เราตายไปผู้คนจะหลงลืมเราอย่างรวดเร็ว และในเวลาไม่นาน จะไม่มีใครที่จำได้ว่าเราเคยมีชีวิตอยู่ด้วยซ้ำ จากนั้นถัดไปอีกสักพักใหญ่ ซึ่งจริงๆ ก็ไม่ใช่เวลาที่นานนักหากมองจากการรับรู้ของจักรวาล โลกของเราก็จะแตกดับลงไปเช่นเดียวกัน และชีวิตทั้งหลายก็จะจบลง ณ ตรงนั้น

แต่เราจะเข้าใจและรู้จักความไม่เที่ยงอย่างลึกซึ้ง โดยที่ไม่ได้เป็นแค่ความเข้าใจในระดับความคิดเชิงตรรกะเหตุผลได้อย่างไร เพราะความรู้ที่อยู่ในระดับความคิดนั้นมีอิทธิพลกับตัวเราเพียงเล็กน้อย ในเรื่องนี้ ตุลกู อูร์เจ็น แนะนำเอาไว้ว่า ให้เราใคร่ครวญถึงคำสอนและอุปมาในคำสอน คาร์ลิง ชิโทร ของคุรุปัทมสัมภาวะ

“จินตนาการว่าเธอเกาะอยู่บนขอบของหน้าผาที่สูงชัน และเหยียบอยู่บนขอบผาที่มีความกว้างแค่เพียงครึ่งนิ้ว เบื้องล่างคือหุบเหวที่ลึกลงไปสุดหยั่ง ที่ก้นเหวนั้นมีสายน้ำเชี่ยวกรากส่งเสียงคำรามขึ้นมา เธอไม่กล้ามองลงไป มีเพียงนิ้วหัวแม่เท้าเท่านั้นที่แตะอยู่บนขอบผา สองมือของเธอคว้าเอาหญ้าที่มีความยาวเท่าเคราแพะอยู่เต็มกำ ทำให้ตอนนี้ตัวเธอห้อยอยู่บนขอบผาได้ด้วยหญ้าสองกำนั้น ซึ่งหญ้าในมือคือตัวแทนของอายุขัยและพลังชีวิตของเธอ ในเวลาเดียวกันนั้น ความไม่เที่ยง เผยตัวออกมาในรูปของหนูสองตัว พวกมันแทะเล็มหญ้าที่เธอจับอยู่ทีละนิด และเมื่อไรที่หญ้าถูกหนูกินจนหมด มือของเธอก็จะไม่เหลือสิ่งใดให้ยึดจับอีกต่อไป หนทางเดียวที่เหลืออยู่คือกระโจนลงไปในหุบเหวและสายน้ำเบื้องล่าง เธอจึงห้อยอยู่ตรงขอบผาระหว่างที่หนูสองตัวนั้นกำลังเล็มหญ้าทีละใบ ไม่ว่าอย่างไรเธอก็ไม่มีโอกาสที่จะรอดพ้นไปจากสิ่งนี้ นี่แหละคือสถานการณ์ชีวิตของพวกเรา”

เหตุใดการตระหนักถึงความตายจึงสำคัญนัก? ก็เพราะมันนำเราไปสู่การตรวจสอบและจัดลำดับความสำคัญในชีวิต เมื่อไรที่เราไม่ได้ตระหนักว่าวันหนึ่งเราจะต้องตาย  เมื่อไรที่เราตกอยู่ในความคิดว่าเรามีเวลาเหลือเฟือในการใช้ชีวิต เมื่อนั้นเราก็มักจะกลับไปทำตามรูปแบบนิสัยเดิมๆ เช่น การตามหาความพึงพอใจ การยอมรับ และ ความสุขทางวัตถุ แต่เมื่อไรที่ความตายได้มาเผชิญหน้ากับเรา เมื่อนั้นเราถึงจะเริ่มมองเห็นว่าอะไรคือสิ่งสำคัญในชีวิต