Shambhala Revisit : หวนคืนสู่อาณาจักรแห่งดวงตะวันสีทอง

บทความโดย KONG วัชรสิทธา


ยังมีดินแดนแห่งหนึ่งสืบมาแต่บรรพกาล ซึ่งบรรดาอริยชนผู้ตื่นรู้ ทั้งเหล่านักรบ ผู้กล้า ผู้อุทิศตน ผู้ปกป้องสมดุลย์แห่งโลกเพื่อธำรงไว้ซึ่งอำนาจแห่งคุณงามความดี ต่างดำรงอยู่อย่างสงบสุข ณ ที่แห่งนั้น

Shambhala (ชัม-บา-ลา) คือชื่อดินแดนลี้ลับอันเป็นตำนานเล่าขานไว้ใน “กาลจักรตันตระ” มาแต่ปางบรรพ์

ทั้งเป็นต้นสายแรงบันดาลใจต่อคำสอนของ เชอเกียม ตรุงปะ ธรรมาจารย์​-นักรบแห่งทิเบต ผู้ปรารถนาจะส่งทอดมรดกแห่งคำสอนล้ำค่าของเหล่าบรรพชน โดยใคร่ครวญจากคำถามที่ว่า เราจะสร้างสังคมอริยะที่ตั้งอยู่บนรากฐานของความกล้าหาญ และความอ่อนโยน อย่างไร? 

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในสภาวการณ์ที่ดูมืดมิด ห่อเหี่ยว ไร้หวัง ของโลกในปัจจุบันกาล 

เราอาจเริ่มที่คำถามแรกอย่าง “ความกล้าหาญ” 

เราจะมีความกล้าหาญได้อย่างไร?

แปรเปลี่ยน “ความกลัว” เป็นหนทาง

ในวิถีของนักรบ คุณสมบัติที่โดดเด่นเป็นที่สุดคงไม่พ้นความกล้าหาญ

ในทางกลับกัน ความหาญกล้านั้นคงไม่อาจเกิดขึ้นอย่างโดด ๆ ไร้ที่มา

เช่นนั้น​ หากเราลองสลับมามองขั้วตรงข้ามของความกล้า คือ “ความกลัว” 

ผู้เป็นนักรบจะสัมพันธ์กับความกลัวนั้นอย่างไร?

Gesar of Ling

ในการเดินทางแสวงหาของปัจเจก​ มีเส้นทางอยู่​ 3​ แบบ โดยสามารถอธิบายได้คร่าว ๆ ดังนี้

UP (Spirit) – เส้นทางที่เกี่ยวเนื่องกับการแสวงหาคุณค่าทางจิตวิญญาณ ผ่านการศึกษาเรียนรู้เชิงปรัชญา-ศาสนา เป็นเส้นทางของการสละละวาง​ (renunciation) เพื่อน้อมเข้าสู่วิถีการฝึกฝนปฏิบัติและมุ่งสู่การ​ค้นพบความจริงสูงสุด​ (absolute truth)​

MIDDLE (Social) – เส้นทางของการสัมพันธ์กับผู้คนและสังคม เน้นพัฒนาคุณภาพขององค์รวม อาจพัฒนาตนโดยการเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับศาสตร์ทางจิตวิทยา สังคมศาสตร์ การเมือง นิเวศน์วิทยา ฯ เพื่อทำความเข้าใจกับปัญหา สาเหตุ และทางปรับปรุงแก้ไขสำหรับการยกระดับความเป็นอยู่อย่างเป็นรูปธรรม

DOWN (Soul) – เส้นทางการค้นหาความหมายในตน เน้นการแสวงหาเชิงปัจเจก มีลักษณะของการนำชีวิตตนเข้าไปทดลองเพื่อค้นพบประสบการณ์ที่อาจเป็นคำตอบ ผลักให้ตัวตนได้พบกับ “ขอบ” ที่ไม่คุ้นชิน เช่น ฝึกฝนทักษะแปลกใหม่​ ลองทำกิจกรรมผาดโผน เดินทางไปยังถิ่นทุรกันดาร หรืออาจทำสิ่งที่ดูจะหมิ่นเหม่กับค่านิยมของสังคม​ ฯ​ เพื่อหยั่งรากการดำรงอยู่ให้เติบโตจากสิ่งนั้นอย่างเต็มที่ เป็นทิศทางที่ดูจะมีความเสี่ยงปนอยู่มาก

ในแต่ละบุคคลจะมีประสบการณ์การเดินทางต่างกันไป​ ส่งผลให้มุมมองและแนวทางการใช้ชีวิตนั้นมีความแตกต่างในรายละเอียด คงไม่สามารถฟันธงลงไปได้ว่าเส้นทางแบบใดจะเหมาะสมที่สุดต่อการแสวงหาของแต่ละคน


ทว่าบนหนทางของชีวิต เราล้วนมีความกลัวแฝงฝังอยู่บนเส้นทาง บ้างก็เป็นความจริงในตัวเองที่เราพยายามหลบเลี่ยงมาตลอด อาจเป็นประสบการณ์เลวร้าย บาดแผล ความสัมพันธ์ที่แตกสลาย ด้านมืดดำที่เราไม่อยากแม้แต่จะนึกถึง หรืออาจเป็นความงุนงง ลังเล สับสน​ ต่อสถานการณ์ ความไม่กล้าวางใจ กล้า ๆ กลัว ๆ จนหลีกเลี่ยงที่จะเผชิญ จึงเบนไปสู่ทางที่ดูจะปลอดภัย สบายอกสบายใจชั่วครู่ชั่วคราว โดยหารู้ไม่ว่า ครั้งแล้วครั้งเล่าที่เบือนหน้าหนี ปฏิเสธการเผชิญหน้า​ ได้พาเราสู่เส้นทางอันวกวนในรังดักแด้ (Cocoon) ซึ่งเป็นมุมมองชีวิตที่ตั้งอยู่บนความกลัว รู้สึกว่าชีวิตไม่ปลอดภัยจนต้องอำพราง ซ่อนเร้น เข้าที่กำบังอันทึบหนา เป็นความรู้สึกที่เราไม่อาจสบตาตัวเองได้อย่างเต็มตา ไม่อาจยอมรับตัวเองได้เช่นที่เป็น เป็นความละอายที่ระคนอยู่เสมอในเบื้องลึก ซึ่งในทัศนะของชัมบาลา สิ่งนี้คือมุมมองแบบอาทิตย์อัสดง (Setting Sun) 

แสงตะวันกำลังจะลาลับ โลกนี้ช่างดูหม่นมัว ความกลัวอันน่าหวาดหวั่นปนเปื้อนอยู่ในอากาศ

แต่จะสนใจไปไย? ในรังดักแด้มีตั้งมากสิ่งให้ได้บันเทิงเริงใจ​ 

เราไม่ต้องมองมันตรง​ ๆ​ ทำเป็นลืมไปเสีย​ก็ได้ 

เราจึงเริ่มหลอกตัวเอง​และผู้อื่น​ ได้แนบเนียนขึ้นเรื่อย​ ๆ​

แล้วผู้เป็นนักรบจะสัมพันธ์กับความกลัวอย่างไร?

“What’s in the way, it’s the way”

ก็โดยการสัมพันธ์กับความกลัวเหล่านั้นด้วยสายตาที่กล้าจะวางใจมากขึ้น ด้วยทัศนะที่เชื่อมั่นว่ามี “ความดีงามพื้นฐาน” (Basic Goodness) ดำรงอยู่ในทุกสิ่งและในทุกแห่งหน เป็นพื้นหลังที่พร้อมจะรองรับทุกประสบการณ์ร้ายดี ทุกการร่วงหล่น ทุกความรู้สึกไม่ปลอดภัย เป็นมณฑลไพศาลให้ทุกการปิดบังซ่อนเร้นได้คลี่คลาย 

ความกล้าที่จะสบตาความกลัว ย่อมนำไปสู่​ ความเปราะบาง​ ความเจ็บปวด​ และแตกสลาย

เมื่อเราอนุญาตให้ตนได้แตกสลาย เปิดเปลือยสิ่งห่อหุ้มที่ห่มคลุมไว้ชั้นแล้วชั้นเล่า 

ย่อมจะมีโอกาสได้ค้นพบกับ “หัวใจเศร้าอันจริงแท้” (genuine heart​ of​ sadness)​


เมื่อนั้นเองที่เราอาจพึ่งได้ตระหนักว่า แท้จริงแล้วเส้นทางทั้งหมดที่ผ่านมาในชีวิตนั้นถูกขับเคลื่อนด้วยความกลัวที่เราหลบเลี่ยงมาเสมอ อาจจะเป็นความกลัวไม่ได้รับการยอมรับ กลัวถูกตัดสิน​ กลัวที่จะเริ่มต้น กลัวที่จะแก้ไขบางปัญหา กลัวรอยแผลในอดีต กลัวความไม่มั่นคง กลัวแสงจะแยงตา ฯลฯ 

แต่​ ณ​ ตรงนี้ เรา นักรบ มีความกล้าที่จะยอมรับและมองมันอย่างตรง ๆ พร้อมโอบรับมาเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทาง แม้มันอาจเป็นสิ่งที่หลอกหลอนเรามายาวนานหรือทั้งชีวิต แต่เราจะไม่ถอยหนีอีกต่อไป

ไม่ว่าเราได้เคยผ่านเส้นทางแบบใด เคยหลงทางวกวนเพียงใด หรือกำลังอยู่ในหนทางแบบไหน ในภูมิประเทศเช่นไร ไม่ว่าจะเคยมองดูพระอาทิตย์ลับฟ้ายามอัสดงอย่างใหลหลงนับไม่รู้ต่อกี่ครั้ง 

ทว่า หากได้ปรับเปลี่ยนทัศนวิสัยที่มีต่อชีวิต​

เราสามารถเห็นพระอาทิตย์ขึ้นจากจุดที่เรายืนได้เสมอ

ญาณทัศนะแห่งดวงตะวันสีทอง

“…ยังจำได้ถึงรอยสะบัดของพู่กัน เราสะอื้น 

และทรุดลงสู่ความจริงแท้อันน่าเกรงขาม…”​ 

บทสักการะบิดาริกเดน แปลไทยโดย วิจักขณ์ พานิช

ความเปราะบาง​ เจ็บปวด​ และเศร้าสร้อย

นำมาสู่คุณสมบัติอีกประการของนักรบ​ 

ความกล้าหาญได้นำไปสู่การสัมพันธ์กับความกลัว​ แต่ไม่ใช่ในท่าทีของความก้าวร้าว​ หยาบกระด้าง​ เพื่อเอาชนะ​หรือทำลายทิ้งไปเสีย หากคือหัวใจที่เปิดออก​ สู่ความอ่อนโยน​ เมตตา​ การุณย์ พร้อมที่จะร่วมทุกข์สุขกับเพื่อนมนุษย์ เพราะตระหนักดีแล้วว่า​ แท้จริงแล้ว​ เราต่างก็มีหัวใจเศร้าที่แท้จริง เป็นเนื้อแท้ของหัวใจอันดิบ​ ๆ​ เปลือย​ ๆ​ ที่เราไม่ละอายจะเผยออกให้ผู้อื่นได้เห็น​ สิ่งนี้คือความจริงแท้อันน่าเกรงขาม​

​จากจุดนี้เอง ดวงตะวันสีทองแห่งมหาบูรพทิศ (Great Eastern Sun) ของญาณทัศนะแห่งชัมบาลาจึงฉายฉาน​ สาดสู่ภูมิทัศน์ของใจที่เปลือยเปล่าปราศจากการปกปิดของเกราะหนา ด้วยมุมมองที่ว่า​ ทุกสิ่งต่างมีความดีงามพื้นฐาน​​ จากจุดที่เรายืนอยู่​นี้จึงมีศักยภาพอันเต็มเปี่ยม​ ตรงนี้-ตอนนี้ คือความรุ่มรวยเหลือพอ เราจึงยืนหยัดตั้งแกนด้วยท่วงท่าสง่างามอย่างนักรบ​ พร้อมที่จะกระทำการ​


สลัดจากความง่วงงุน สู่ความตื่น​ ชื่นชมแสงสวยสดใสแห่งรุ่งอรุณพระอาทิตย์สีทอง​ เมฆหมอกคลุมเครือ​ของความสับสนสงสัย​ได้จางหาย​ แสงอาทิตย์อุทัยฉาบทาทั่วฟ้า​ 

เราอาจไม่อยากเชื่อในสายตาตนเอง แต่หากได้พบความสว่างจ้าคาตาอยู่ครั้งแล้วครั้งเล่า​ ความเชื่อมั่นเดิมแท้​ (primordial confidence)​ ย่อมถูกปลุกขึ้น​ เป็นความเชื่อมั่นในภูมิปัญญาเดิมแท้แห่งบรรพกาล หนทางสู่อาณาจักรลี้ลับได้กระจ่างขึ้นสู่ภูมิทัศน์ภายใน​ เรากล้าจะย่ำเท้าออกจากโลกทัศน์ตะวันตกดิน สู่หนทางใหม่ของชีวิตที่เต็มเปี่ยมและสง่างาม

เส้นทางที่สลัดพ้นจากความสับสนสงสัย แม้มีความแคลงใจในสถานการณ์แห่งชีวิต​ หากภาพของอาณาจักรแห่งดวงตะวันสีทอง​ยังคงฉายชัดในดวงจิต​ เกิดเป็นความไว้วางใจในความดีงามพื้นฐานของสรรพสิ่ง จึงเริ่มพัฒนาความตระหนักรู้ที่แจ่มชัดขึ้นว่า​ สิ่งใดคือความเป็นจริงแห่งชีวิต​ (Reality) 

Reality แบบใดที่หัวใจส่วนลึกของเราร้องเรียกหามาเสมอ?

เส้นทางแห่งชีวิตจึงเริ่มดำเนินไปอย่างสอดคล้องเป็นหนึ่งเดียวกับจังหวะของโลกลี้ลับศักดิ์สิทธิ์ 

​เมื่อนั้นเอง สิ่งที่เรียกว่า​ “เวทมนตร์”​ หรือ สิทธิอำนาจภายใน จึงจะเกิดมีขึ้นได้

ค้นพบ “ดราละ” พาหนะของนักรบ​

ความอ่อนโยนซึ่งพัฒนาขึ้นโดยการเชื่อมสายใยสู่ความจริงแท้ภายใน ได้เผยความกล้าที่จะไว้วางใจในสถานการณ์ตรงหน้า​ เกิดเป็นความวางใจในตนเอง​ วางใจในผู้อื่น​ วางใจในเส้นทางแห่งชีวิต ด้วยแลเห็นถึงความดีพื้นฐานที่มีอยู่ในสิ่งต่าง ๆ อย่างไร้เงื่อนไข ความหาญกล้าแท้จริงซึ่งพ้นไปจากความกลัว​ ได้ปลุกเร้า​ “ดราละ”​ (Drala)​​ ให้ตื่นจากหลับใหล
ความอ่อนโยนซึ่งพัฒนาขึ้นโดยการเชื่อมสายใยสู่ความจริงแท้ภายใน ได้เผยความกล้าที่จะไว้วางใจในสถานการณ์ตรงหน้า​ เกิดเป็นความวางใจในตนเอง​ วางใจในผู้อื่น​ วางใจในเส้นทางแห่งชีวิต ด้วยแลเห็นถึงความดีพื้นฐานที่มีอยู่ในสิ่งต่าง ๆ อย่างไร้เงื่อนไข ความหาญกล้าแท้จริงซึ่งพ้นไปจากความกลัว​ ได้ปลุกเร้า​ “ดราละ”​ (Drala)​​ ให้ตื่นจากหลับใหล

​ 

ดรา-ละ ตามรากศัพท์ทิเบตนั้น แปลได้ว่า “การอยู่เหนือศัตรู” หรือหมายความถึง “ไม่มีศัตรู” ก็ได้เช่นกัน ซึ่งมองได้ว่า เมื่อไม่มีการนิยามแบบทวิลักษณ์ เรา-เขา​ นั่น-นี่​ คุ้นเคย-เป็นอื่น ขาว-ดำ ฯ ย่อมไปพ้นจากการแบ่งแยกและขั้วขัดแย้ง เมื่อเป็นดังนั้น จึงไม่มีคู่ปฏิปักษ์ให้พิชิตอีกต่อไป ในแง่นี้จึงนับเป็นชัยชนะเหนือศัตรูได้โดยไม่ต้อง “เอาชนะ” ในความหมายที่คุ้นเคยเสียเลยด้วยซ้ำ

เป็นชัยชนะเหนือชัยชนะใด​ ๆ

เมื่อไปพ้นการแบ่งขั้วตามแนวคิดทวิภาวะ จึงเกิดการหลอมรวมของปัญญาญาณที่ดำรงอยู่ในสรรพสิ่งเข้ากับธรรมชาติเดิมแท้ซึ่งดำรงอยู่แล้วภายใน เกิดเป็นอำนาจวิเศษแห่งนักรบ​ ซึ่งเปรียบได้ดังสัญลักษณ์แห่ง “ม้าลม” (Windhorse) ม้าลมนี้เองคือพาหนะในการเดินทางสู่หนทางอันศักดิ์สิทธิ์ของนักรบ

การขึ้นสู่ม้าลม จำต้องขึ้นอยู่เหนือความกลัว (Above Fear) ซึ่งต้องกระทำการโดยไปพ้นจากความก้าวร้าว เราไม่อาจเข้าควบคุมมันได้ดังการปราบม้าพยศ ทีท่าเช่นนั้นไม่อาจบังคับอาชานี้ให้เชื่องเชื่อได้ ม้าลมคือวิญญาณอิสระโดยสิ้นเชิง หากต้องอาศัยความเปิดกว้างและความอ่อนโยนภายใน จึงอาจขึ้นสู่อานแห่งสิทธิอำนาจวิเศษ

เมื่อความไว้วางใจในกันและกันได้เชื่อมร้อยเข้าเป็นจังหวะอันกลมกลืน สอดคล้อง พอจะกระทำการร่วมกันอย่างเป็นหนึ่งเดียว จึงอาจนำพาอาชาศักดิ์สิทธิ์นี้ควบทะยาน​ ทะลวงผ่านความสับสน​ แข็งกร้าว​ ทลายฝ่าความคาดหวังและขลาดกลัว สู่ทิศบูรพาซึ่งแสงทองของดวงตะวันแผดจ้า ส่งประกายวิบวับ ดังคำทักทายหาเราจากดินแดนแสนไกล


หวนคืนสู่เผ่าพันธุ์

จากความรู้สึกขาด​ แยก แตกต่าง มาบัดนี้​ เราได้เห็นแล้วว่ามีสายใยที่ไม่อาจตัดขาดอยู่เสมอ​ เราค้นพบที่ทางของตนเองในโลกอันเหี่ยวเฉา​เทาทึมนี้ เราไม่รู้สึกโดดเดี่ยวจนเกินไป และเริ่มมองเห็นการสนับสนุนจากโลกศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่เคยทอดทิ้งเรา 

ด้วยความเชื่อมั่นแห่งดวงตะวันสีทอง​ เรารู้แล้วว่าทิศทางใดที่เรากำลังจะมุ่งไป

และแท้จริงแล้ว เราไม่อาจตัดขาดจากโลกได้โดยสิ้นเชิงแม้จะใช้ความพยายามเพียงใด เหตุเพราะทุกสิ่งต่างเชื่อมร้อยดุจข่ายใยชีวิตที่เกี่ยวเนื่องกันเสมอ สายสัมพันธ์ศักดิ์สิทธิ์นี้ไม่อาจถูกทำลาย แม้โลกทัศน์ตะวันตกดินจะใช้ความพยายามในการกล่อมเกลา ฝังกลบ หรือทำลายความเชื่อมั่นเดิมแท้นี้ด้วยกลวิธีซับซ้อนเท่าใด 

หนทางสู่อาณาจักรแห่งดวงตะวันสีทอง ก็ยังคงทอดยาวอยู่ตรงนั้นเสมอ

นักรบผู้แผ้วถางหนทางศักดิ์สิทธิ์​ ครูบาอาจารย์​ ​สหายธรรม​ ผู้อุทิศตนทั้งหลาย ที่ต่างปกปักรักษา​และสืบทอดสิ่งดีงามแห่งปฐมกาล​ ล้วนผ่านเส้นทางเหล่านี้มา​และยังคงอยู่ที่นั่นเสมอ อย่างแน่วแน่ มั่นคง ไม่แปรเปลี่ยน


ทว่าการจะเข้าถึงอำนาจวิเศษนี้ แม้เป็นสิ่งที่ดำรงอยู่เสมอ หากต้องใช้ความกล้าหาญจากฝั่งเรา​ ในการจะลืมตาสู่แสงแห่งอรุณรุ่งและย่ำเท้าออกจากรังดักแด้​ จึงอาจฟื้นคืนสายสัมพันธ์เดิมแท้นี้ได้ จึงจะพัฒนาเป็นความละเอียดอ่อนโยนในการรับข่าวสารจากจักรวาลศักดิ์สิทธิ์ จึงอาจเกิดเป็นบทสนทนา จึงจะสื่อสารพูดคุยและกระทำการไปอย่างสอดสัมพันธ์กับจังหวะแห่งจักรวาล มณฑลศักดิ์สิทธิ์จึงสามารถจะแทรกผ่านเข้ามาสู่โลกแห่งปรากฏการณ์​ เปิดเส้นทางให้เราได้ล่วงเข้าสู่อาณาจักรวิเศษ เพื่อยืนยันสิทธิอำนาจที่มีอยู่เสมอมา​

ขอต้อนรับการกลับมาของ ​นักรบผู้ได้ผ่านเส้นทางอันวกวนและยาวนาน กลับคืนสู่มณฑลศักดิ์สิทธิ์ สู่พงศ์พันธุ์เดิมแท้ มองย้อนกลับไป ช่างเป็นเส้นทางที่น่ารื่นรมย์และภาคภูมิ ควรค่าแก่การเคารพ เสมือนบทพิสูจน์ญาณทัศนะแห่งอาทิตย์อุทัยซึ่งได้ย้ำเตือนว่า 

ไม่ว่าจากจุดใด มหาดวงตะวันสีทองดวงนั้น​ จะยังคงโผล่พ้นขอบฟ้าสลัวลางขึ้นมากล่าว​ “อรุณสวัสดิ์”​ อย่างไร้เงื่อนไข แลเห็นแล้วว่า สังคมอริยะในตำนานกล่าวขาน ได้บังเกิดขึ้นแล้วอย่างน้อยที่สุดก็ในดวงจิตและชีวิตนี้

การสถาปนา “ชัมบาลา” บนโลกนี้ไม่ใช่การวาดฝันที่ไกลเกินความเป็นจริง


ขอน้อมคำนับ​ แด่​เหล่าบรรพชนนักรบ 

น้อมคำนับ​ แด่​​สหายนักรบร่วมเส้นทาง 

น้อมคำนับ​ แด่​​นักรบแห่งอนาคตกาล

ที่สุดแล้ว​ ​ขอน้อมคำนับ​ แด่​หัวใจนักรบของเรา

​ 

ในวาระอันดีงามเช่นนี้​

ขอเฉลิมฉลองให้กับทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้เกิดขึ้นตลอดเส้นทางที่ผ่านมา

CELEBRATE!

(สาส์นส่งท้าย)​

“…เรายังอาจเริ่มเฉลิมฉลองและช่วยผลักดันความศักดิ์สิทธิ์ของโลก โดยการดำเนินตามวิถีทางของนักรบ มีทางเป็นไปได้ที่จะหยั่งลึกขึ้นในญาณทัศนะและอาจมอบความกล้าให้แก่ผู้อื่น โดยนัยนี้ เราก็อาจพบการเปลี่ยนแปลงอย่างถึงราก เราไม่อาจเปลี่ยนแปลงโลกได้ แต่โดยการเปิดตนเองออกสู่โลก รับรู้มันอย่างที่เป็น เราก็อาจค้นพบว่าความอ่อนโยนและความสุภาพกล้าหาญเป็นสิ่งที่อาจเกิดขึ้นได้มิใช่เพียงเฉพาะกับเรา แต่กับมนุษย์ทุกคน”

จาก หนังสือ “ชัมบาลา : หนทางอันศักดิ์สิทธิ์ของนักรบ”
โดย เชอเกียม ตรุงปะ (ปรมาจารย์นักรบแห่งชัมบาลา)