บทความโดย KONG วัชรสิทธา
เราทุกคนต่างผ่านประสบการณ์ในการสัมพันธ์กับสังคมที่เราอยู่ กับผู้คนรายรอบ กับเรื่องราวในชีวิต ต่างก็มีการเดินทางตามเส้นทางของแต่ละคน แม้การเดินทางส่วนตนจะมีความหลากหลายในรายละเอียด ทว่าจุดร่วมหนึ่งที่มีนั้นก็คือ ความเป็นมนุษย์ ในสังคมเดียวกัน ในนิเวศเดียวกันที่เรียกว่า สังคมไทย-ประเทศไทย-โลก เราล้วนผ่านการรับรู้การเปลี่ยนแปลงของสังคมและโลกของเรา บ้างอย่างใจจดใจจ่อ บ้างอย่างห่อเหี่ยว บ้างก็ในฐานะผู้มีส่วนขับเคลื่อนการเคลื่อนไหวใด ๆ หรือในฐานะผู้เฝ้าดูเฝ้าส่งใจ หรือในฐานะผู้ปลีกเร้นไม่ข้องแวะ หรือในช่วงเยียวยาฟื้นฟูบาดแผลต่าง ๆ ก็ตามแต่ แต่เราก็ยังอยู่ในนิเวศเดียวกัน
เราบางคนอาจเคยได้ยินได้ฟัง ได้สัมผัสเรื่องเชิงจิตวิญญาณ พลังงานกันมาบ้าง มากบ้างหรือน้อยบ้างต่างกันไป
ในกิจกรรม Subtle Activism ที่ผ่านมา หนทางของมิติทางพลังงานก็ค่อย ๆ เปิดเผยออกมาทีละน้อย เมื่อรู้ตัวอีกที โลกของพลังงานก็โอบอุ้มพวกเราไว้แล้ว การกระทำการร่วมกันผ่านบทเรียนต่าง ๆ ในกิจกรรมนั้น เชื้อเชิญให้เรากลับมาทบทวนเส้นทางที่ผ่านมาในฐานะ being นึงในระบบนิเวศอันกว้างใหญ่นี้มากขึ้นเรื่อย ๆ ให้ตระหนักถึงการดำรงอยู่ของเราซึ่งมีผลต่อการดำรงอยู่อื่น ๆ ในข่ายใยเดียวกันนี้ และยิ่งชี้ให้เห็นความสำคัญของสิ่งที่เราอาจจะไม่เคยได้ให้ความสำคัญในระดับนี้เท่าใดนัก
กล่าวถึงวิธีการของ Subtle Activism แล้ว สามารถสรุปความให้นึกภาพคร่าว ๆ คือ การทำงานเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงผ่านมิติทางพลังงาน ผ่านมิติของการสัมพันธ์กับชีวิตหรือพลังงานอื่น ๆ ที่อยู่ร่วมโลกกับเราในฐานะ “พันธมิตรทางจิตวิญญาณ” ทั้งที่สามารถรับรู้ได้ในทางกายภาพ และยังมีอีกมากมายที่สัมผัสรับรู้ถึงการดำรงอยู่ได้เพียงในมิติของพลังงานเท่านั้น ในแง่นี้เอง มนุษย์จึงมีความพิเศษในฐานะสิ่งมีชีวิตที่ดำรงอยู่ทั้งในโลกทางกายภาพและโลกทางจิตวิญญาณไปพร้อมกัน มนุษย์เราจึงมีศักยภาพในการเชื่อมโยงกับโลก พลังงาน หรือสิ่งมีชีวิตในมิติต่าง ๆ เข้าไว้ด้วยกัน
รับรู้สิทธิแห่งพลังงาน🔥
ในช่วงต้นของกิจกรรม หลังจากวิทยากรได้นำพาเราให้มาพานพบและทำความรู้จักกัน เพื่อนำเรากลับมาสู่ “บ้านอันแท้จริง” ซึ่งเราหลงลืมไป บ้านของใจ บ้านของพลังงาน พื้นที่ของสนามพลังที่ทุกคนต่างเชื่อมโยง สัมผัส รับรู้ถึงกันได้แม้ไม่ได้เคยรู้จักกันเป็นการส่วนตัวมาก่อน
ต่อมา วิทยากรให้เราเรียนรู้วิธีการใช้พลังงานธรรมชาติ (ในที่นี้คือเปลวไฟจากเทียน) ทำการ Energy Clearing โดยใช้ฝ่ามือสัมผัสพลังความร้อนจากเปลวเทียน และนำฝ่ามือถูเข้าหากัน สัมผัสร่างกายเพื่อกระจายความอบอุ่นไปยังจุดต่าง ๆ เพื่อเคลียร์พลังงานให้สดใหม่และเปี่ยมศักยภาพ ในบางจุดที่มีความเกร็งและความปวดเมื่อยยังสามารถนำฝ่ามือไปสัมผัสกับจุดนั้น ๆ เพื่อให้ความหนักแน่นเหล่านั้นจางคลาย ชะล้างพลังงานที่อาจไม่ได้มีความจำเป็นหรือเกื้อกูลต่อการเดินทางนับจากนี้อีกแล้ว ละวางความคิด การตัดสินหรือการแก้ปัญหาด้วยวิถีทางเดิม ๆ ซึ่งสัมพันธ์กับตัวพลังงานเก่า ๆ ที่เกาะกุมเราไว้ ให้กลับสู่ที่ทางของมัน จนกระทั่งเรากลับมาเห็นได้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้งอีกครั้ง
จากนั้น เราได้ลองทำแบบฝึกหัดว่าด้วยการสัมผัสคลื่นพลังงานของเรา โดยมีลำดับการคร่าว ๆ ดังนี้
- สร้าง Ball พลังงาน – ตั้งฝ่ามือสองข้างขึ้นแล้วจินตภาพถึงลูกบอลกลม ๆ สัมผัสรับรู้ถึงพลังงานระหว่างฝ่ามือ ลองปฏิสัมพันธ์กับบอลลูกนี้ (เช่น ยืด-หด ระยะห่างระหว่างฝ่ามือ) และสังเกตคุณลักษณะที่เกิดขึ้น เช่น ความอุ่น คลื่นความถี่ ฯ
- Energy Sharing – จับคู่หรือรวมกลุ่มเพื่อส่งต่อบอลพลังงานกับเพื่อน ๆ ลองมีปฏิสัมพันธ์กับบอลเมื่อรวมเป็นลูกเดียวกันกับของเพื่อน ๆ และสังเกตคุณลักษณะ ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
ด้วยวิธีการเช่นว่านี้ ทำให้เราสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังงานที่ดำรงอยู่จริง รวมทั้งคุณลักษณะต่าง ๆ ของพลังงานนั้น เพื่อรับรู้ถึงความจริงแท้ในอีกมิติหนึ่งที่เรามักจะมองข้ามไป รับรู้ถึงคลื่นความถี่ต่าง ๆ ที่มีอยู่ภายในเรามาแต่แรกเริ่ม จากกระบวนการดังกล่าวนี้เอง ทำให้เราได้เห็นภาพของการทำงานด้วยวิถีทางใหม่ คำถามต่อจากนี้คือ เมื่อเราสามารถรับรู้ถึงการดำรงอยู่ของพลังงานนั้น ๆ ได้แล้ว เราจะนำพลังงานเหล่านั้นไปใช้ทำสิ่งใด? หรือ เช่นไร? ได้บ้าง ซึ่งคำถามดังกล่าวจะเชื่อมโยงไปสู่สิ่งที่เรียกว่า Intention หรือ เจตจำนง
เจตจำนง (Intention) คือ การประกาศสิทธิอำนาจนั้น ๆ
การตั้งเจตจำนง เป็นไปเพื่อกำหนดทิศทาง-เป้าหมายของพลังงานที่เรามี เพื่อจะกระทำการร่วมไปกับสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและมั่นคง เมื่อเราได้กำหนดเจตจำนงโดยคำนึงถึงหมุดหมายที่ชัดเจนและเป็นจริงไว้ในดวงจิต เท่ากับว่าดวงจิตของเราไว้ประกาศ (manifest) เจตจำนงนั้นกับจักรวาลไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว มันได้เกิดขึ้นจริงแล้ว อย่างน้อยที่สุดก็ในดวงจิตของเรา ดังนั้นเมื่อความเป็นจริงดังกล่าวได้ถูก manifest ออกไป จักรวาลก็จะตอบรับกับเจตจำนงนั้น ๆ เพื่อจัดสมดุลทางนิเวศใหม่ ในวิถีทางเช่นนี้เองที่ subtle energy หรือพลังงานละเอียดได้ทำการเชื่อมต่อสื่อสารกับ subtle energy อื่น ๆ
ซึ่งในที่นี้จะยกตัวอย่างจากบทเรียนนึงที่ได้เรียนรู้จากวิทยากร ว่าด้วยเรื่องของการสร้างนิมิต (Visualization)
นิมิต ในที่นี้ไม่ใช่ ความคิด พลังของนิมิตไม่ใช่ความจริงในระดับความคิด ไม่ใช่ความจริงเชิงอารมณ์-ความรู้สึก แต่เป็นความจริงในอีกโลกหนึ่งซึ่งก็คือโลกของสนามพลังงาน (ถ้าจะพูดให้ถูกต้องก็คือเป็นโลกเดียวกันกับที่เราดำรงอยู่นี้ เพียงแต่เราอาจไม่เคยรับรู้ในมิตินี้เท่านั้น) แล้วความจริงที่ดำรงอยู่ในมิตินั้นก็จะส่งคลื่นความถี่มายังเราผ่านทางร่างกาย อันจะนำพาไปสู่การเปลี่ยนแปลงใด ๆ ก็ตามหลังจากนี้ เพื่อเข้าสู่กระบวนการเปลี่ยนผ่าน (transformation) ปัญหาคือว่า เราควรตั้งเจตจำนงเช่นไรเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีต่อนิเวศทางพลังงานโดยรวม สามารถที่จะ “เกื้อกูล” ต่อสรรพชีวิตได้อย่างแท้จริง
ดังนี้เอง การเชื่อมต่อกับปัญญาญาณในตัวเรา หรือ Higher Self จึงเป็นปัจจัยสำคัญมาก ๆ เพื่อเจตจำนงของเราจะถูกขัดเกลาให้ละเอียดยิ่งขึ้นผ่านวิธีการที่น่าสนใจต่าง ๆ เช่น การเขียนออกมาเป็นประโยค, การแลกเปลี่ยนเจตจำนงนั้นกับเพื่อน, การถาม-ตอบตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าเจตจำนงนั้น ๆ จะสามารถเกื้อกูลตัวเราและสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ได้เช่นไร ฯ เป็นต้น การหา intention ที่แท้จริงจึงมีความสำคัญมาก เรียกว่าสำคัญที่สุดเลยก็ว่าได้ เพื่อให้เราชัดแจ้งแก่ใจว่าการที่เราจะใช้สิทธิอำนาจผ่านเจตจำนงใด ๆ นั้น จะเกื้อกูลตัวเราและนิเวศทางพลังงานที่เราอาศัยนี้เช่นไร เพื่อให้สอดรับกับปัญญาญาณยิ่ง ๆ ขึ้นไป
กล่าวถึงคุณลักษณะของนิเวศทางพลังงานที่เราดำรงอยู่ อาจเรียกว่า “สนามพลังงาน” หรือ “จักรวาล” ก็ตาม คุณลักษณะของสิ่งนี้มีความเป็น neutral ซึ่งจะตอบรับกับ intention ที่มีกำลังมากพอ ดังที่เราเห็นได้จากความเป็นไปในโลก สิ่งที่เป็นจริงขึ้นมาได้นั้น มักจะเกิดจากกลุ่มคนที่มีความมุ่งหมายเดียวกันแล้วร่วมกันสร้างมันออกมาให้เป็นจริงจนสามารถแบ่งปันเจตจำนงนั้น ๆ กับนิเวศโดยรวม สังคม-โลกของเรามีเจตจำนงมากมายที่สถิตย์อยู่ในแต่ละผู้คน ในแต่ละกลุ่มชน ซึ่งล้วนมีความมุ่งมาดปรารถนาจะเห็นสังคม-โลกเป็นไปอย่างที่วาดหวังไว้ โลกของเราจึงมีความซับซ้อนอยู่หลายชั้นมากเสียจนไม่อาจจะหยั่งวัด ถึงขั้นที่เรียกว่ายุ่งเหยิงเลยก็ว่าได้หากวัดจากสภาพการณ์ต่าง ๆ ที่เรารับรู้กันอยู่ในทุกวันนี้ ทว่าวิทยากรได้ให้ข้อคิดอันเป็นดังคาถาเตือนใจ ดังความว่า
“Intention ที่เกื้อกูลต่อสรรพชีวิตที่สุด จะได้รับการตอบรับเสมอ”
ปกป้อง “สิทธิ” ของเราด้วยความรักและเคารพ (LOVE & RESPECT)
จากขั้นของเจตจำนง เมื่อเราต้องทำการแปรเปลี่ยนเจตจำนงออกมาสู่ความจริงเชิงประจักษ์ ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเผชิญกับอุปสรรคและความท้าทายนานัปการ ซึ่งในประเด็นนี้วิทยากรได้นำเราไปพบกับปัจจัยที่มีความสำคัญเหลือเกินที่เราต้องตระหนัก เป็นปัจจัย 2 สิ่ง ซึ่งจะคอยค้ำจุนเจตจำนงให้เปี่ยมความเชื่อมั่น มั่นคง และมีพลัง
สิ่งแรกคือ ความเคารพ (Respect) เมื่อเรามีความเคารพต่อผู้คน ต่อสรรพสิ่ง เราจะสามารถเดินบนผืนโลกได้อย่างสง่างาม ความเคารพที่เรามีให้กับทุกคน ทุกสิ่ง คือสิ่งที่จะสร้างเกราะคุ้มกันดังยันต์คุ้มภัยได้อย่างดีที่สุด อีกสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือ ความรักที่มีต่อตัวเอง (Self Love) ซึ่งเป็นกำแพงอันสูงใหญ่มากที่เราจำเป็นต้องฝ่าข้ามไปให้ได้ก่อนจะไปสู่กระบวนการอื่น ๆ อย่างเต็มเปี่ยมด้วยพลังภายใน เราไม่อาจมีความรักต่อผู้อื่นอย่างแท้จริงได้ หากไม่สามารถรักตนเองได้เสียก่อน เพราะต้นกำเนิดของพลังอำนาจภายในนั้นก็คือความรักที่เรามีให้กับตัวเอง และในบรรดาพลังงานทั้งหลาย ความรักนั้นมีคลื่นละเอียดที่สุด
ความเคารพ และ ความรักที่มีต่อตนเอง คือสิ่งที่จะเกื้อหนุนเจตจำนงต่อการกระทำการร่วมไปกับโลกแห่งพลังงานให้ลุล่วงไปอย่างมีพลัง
มิตรสหายร่วมเจตจำนง
ช่วงท้ายของกิจกรรมวันที่สอง ในที่สุดก็มาถึงการอัญเชิญพันธมิตรทางจิตวิญญาณมาร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันในวงมณฑลนี้ เริ่มด้วยการภาวนาเพื่อเข้าสู่ภาวะความสงบ ความมั่นคง เชื่อมโยงกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายในตัวเรา รำลึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เราเชื่อมั่น นับถือ ศรัทธา ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใดก็ตาม ครูบาอาจารย์ บรรพบุรุษ คนที่เราเคารพรัก หรือสิ่งอื่น ๆ ใด ๆ ทั้งภายในและภายนอก เพื่อเชื้อเชิญพวกเขาเหล่านั้นมาปกป้องร่างกาย ดวงจิต ชีวิต และพลังงานของเรา โดยมีการใช้นิมิตหรือจินตภาพเพื่อเสริมการเชื่อมต่อรับรู้ เช่น การตั้งนิมิตถึงแสงสีขาวที่สาดโปรยปรายลงมา ดังฝนสีขาวค่อย ๆ อาบตัวเรา จนร่างกายของเรากลายเป็นแสง กลายเป็นความสว่างนั้น ให้พลังงานนั้นปกป้องคุ้มครองเราและปกปักรักษาเจตจำนงให้รอดปลอดภัย และสัมผัสรับรู้ถึงพลังงานและความรู้สึกที่เกิดขึ้นในเนื้อในตัวเรา
ภาพวาดมณฑลพลังงาน (mandala)
หลังผ่านบทเรียนและแบบฝึกหัดต่าง ๆ ในกิจกรรมซึ่งพาเราไปสู่ความเข้าใจในมิติพลังงานมากยิ่งขึ้นตามลำดับ จนค่อย ๆ เกิดความชัดเจนขึ้นเองในใจว่า เมื่อเราต้องการสร้างการเปลี่ยนแปลงใด ๆ การเปลี่ยนแปลงนั้นย่อมไม่ได้เป็นไปโดยตัวเราและเพื่อตัวเราในมิติทางกายภาพที่จับต้องได้เพียงอย่างเดียวอย่างแน่นอน ดังนี้แล้ว perception ดังกล่าวจึงพลิกกลับกลายเป็นว่า การดำรงอยู่ของเรา พลังงานของเรา เจตจำนงของเรา รวมไปถึงการกระทำและปฏิสัมพันธ์ใด ๆ ที่เรามี ล้วนเป็นการสร้างการเปลี่ยนแปลงร่วมกับสิ่งอื่น ๆ ในนิเวศเดียวกันนี้ที่ทุกสิ่งต่างร้อยรัดเชื่อมโยงสัมพันธ์กันเป็นหนึ่งเดียว และไม่มีสิ่งใดที่จะแยกขาดจากกันไปได้เลย
เพราะแท้จริงแล้วโลกใบนี้คือโลกอันศักดิ์สิทธิ์
ในการจะสัมพันธ์กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สิ่งสำคัญที่พึงระลึกก็คือ เราเองก็ศักดิ์สิทธิ์เฉกเช่นกัน เราจำต้องเชื่อในอำนาจนั้น และรับรู้ถึงอำนาจนั้นที่อยู่ในตัวเราทุกคน เมื่อเป็นได้เช่นนั้นแล้ว จึงจะสามารถทำงานร่วมกับพันธมิตรทางจิตวิญญาณ หากไม่เป็นเช่นนั้น ปัญหาของ “spiritual abuse” ก็อาจจะตามมา เปรียบกับการสัมพันธ์ด้วยท่าทีที่รู้สึกว่าตนเองช่างต่ำต้อยด้อยค่า ด้วยท่าทีซึ่งเราเป็นฝ่ายไปไหว้วาน กราบกราน ร้องขออยู่แต่ถ่ายเดียว แต่เราในฐานะ sacred being สามารถกระทำการร่วมไปกับ being อื่น ๆ เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงด้วยเจตจำนงที่ดีงามร่วมไปกับพันธมิตรทางจิตวิญญาณเพื่อจัดสมดุลใหม่แก่นิเวศแห่งสนามพลังงานนี้ที่เราดำรงอยู่ร่วมกัน
ดังนั้น เพื่อยืนยัน “สิทธิ” ที่เราทุกคนมีอย่างถ้วนทั่วสมบูรณ์พร้อมในโลกอันศักดิ์สิทธิ์นี้ บรรดามิตรสหายทางจิตวิญญาณจึงรอคอยเราอยู่ตรงนั้นเสมอ เพื่อร่วมสร้างการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง