“ทางออกที่แท้จริงคือทางเข้า” : นั่งอยู่กับความเจ็บปวดและโกลาหลของร่างกาย

บทความโดย คณพล
ภาพประกอบโดย Nakkusu



เมื่อเราอยู่กับความโกลาหลจริงๆ มันไม่ง่ายอย่างที่คิด เมื่อชีวิตเกิดความเปลี่ยนแปลงหลายอย่างขึ้นพร้อมกัน มันไม่มีเวลาให้ตั้งตัว สิ่งที่คิดว่าพร้อม พอเอาเข้าจริงเราไม่เคยพร้อมเลย ความวุ่นวายปั่นป่วนรุกคืบเข้ามาในชีวิต ต้อนเราให้จนมุม จากเรื่องหนึ่ง สู่อีกเรื่องหนึ่ง ความรู้สึกมากมายเกิดขึ้นและเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว เศร้า โกรธ ท้อแท้ สิ้นหวัง ฮึดสู้ ฯลฯ เราพยายามอุดรูรั่ว หาทางแก้ปัญหา แต่จนแล้วจนรอด เราก็มาถึงจุดที่รู้สึกว่ารับมือไม่ไหว

แต่กลไกของตัวตนช่างแยบยลและโหดร้าย มันไม่ยอมศิโรราบง่ายๆ มันยังเหลือฟังก์ชันของการฝังกลบ “hit delete” สิ่งที่เราหวาดกลัวทิ้งไป เคยไหมในช่วงเวลายากๆ ที่เราพยายามไม่นึกถึงเรื่องบางเรื่องเพราะมันเจ็บปวด บางครั้งเมื่อความทรงจำบางอย่างแล่นผ่านเข้ามา เราก็อยากผลักให้มันกลับลงไปลึกๆ เพราะไม่อยากจะยอมรับว่ามันคือความจริง แพทเทิร์นของการฝังกลบนี้ช่วยให้เราลอยคอต่อไปได้ในมหาสมุทรของความทุกข์ แต่การลอยคอแบบนี้ไม่ได้ทำให้เรา “ใช้ชีวิตจริงๆ” เลย เราจะค่อยๆ เสียสายสัมพันธ์กับชีวิต จนรู้สึกเหมือนอยู่ไปวันๆ และนั่นก็ยิ่งทำให้ทุกอย่างแย่ลงไปอีก

แต่ก็อาจจะยังพอมีข่าวดีในข่าวร้ายนี้อยู่บ้าง นั่นคือความปั่นป่วนของชีวิตที่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องภายนอก แท้จริงแล้วไม่ได้แยกขาดจากความปั่นป่วนที่อยู่ภายในร่างกายของเราเลย เราอาจมีวิธีที่ทำให้ความทรงจำลางเลือน ไขว้เขว จนไม่เจ็บปวดทางความคิดอีก แต่เราไม่สามารถหลอกร่างกายได้ และหนทางที่จะกลับสู่ชีวิต คือเราต้องกลับมาเชื่อมต่อกับร่างกายของเราที่กำลังเป็นทุกข์

เมื่อเริ่มฝึกภาวนาและเชื่อมต่อกับร่างกาย ความโกลาหลที่ควบคุมไม่ได้จะเข้ามาต้อนรับเราที่หน้าประตู เมื่อใดก็ตามที่เราปล่อยจากความคิดลงมาสู่เนื้อตัว เราจะสัมผัสถึงมวลความเข้มข้นมหาศาลที่ทำให้รู้สึกเจ็บปวด ครั่นเนื้อครั่นตัว บีบคั้น และอยู่แทบไม่ได้ บ่อยครั้งความอยู่ไม่ได้นี้ก็ทำให้เราหนีออกมาจากร่างกาย เพื่อไปหลบอยู่ในมุมแคบๆ “ข้างบน” ซึ่งอาจเรียกมันว่าความคิดวนลูป ความเครียด ปัญหาที่ต้องแก้ไข ฯลฯ เพราะเราคุ้นเคยกับวิธีการเหล่านี้มากกว่า เราโอเคกว่าที่จะเจอกับความทุกข์ที่ดูเหมือนเข้าใจได้ และควบคุมได้

ทว่าในผืนมหาสมุทรของร่างกาย ความปั่นป่วนของคลื่นลมก็ยังคงอยู่ตรงนั้น ท้องน้อยยังบีบคลายเหมือนจังหวะของคลื่นที่กระทบฝั่ง ลิ้นปี่วูบวาบไอร้อน หน้าอกรู้สึกโหวงๆ ว่างเปล่า ไหล่ หลัง ร่างกายหลายส่วนเกร็งตัว ราวกับว่ากำลังแบกอะไรที่หนักอึ้งเอาไว้ เรารู้สึกได้ว่ามีบางอย่างที่ร้องเรียกให้เราหันกลับไปใส่ใจมัน รู้จักกับมัน เพื่อที่จะได้ดูแลมัน แต่ด้วยความที่เราใช้ชีวิตได้เก่งกาจเกินไป(หรือโง่เกินไป) เราเลยคิดว่าไม่จำเป็นต้องฟังเสียงที่ดูเหมือนจะไม่จริงเหล่านั้น อะไรคือท้องน้อยที่บีบ? ลิ้นปี่ที่วูบวาบ? เรารู้สึกว่ามันนามธรรมเกินไป ไม่ได้เข้าข่ายโรคภัยไข้เจ็บที่เรารู้จักมาก่อน บางทีมันก็อาจเป็นแค่ความไม่สบายตัว ที่แก้ได้ด้วยการพาตัวเองไปอยู่ในที่สบายๆ

แต่บางครั้งยามเผลอ เราก็ร่วงหล่นลงไปสู่ความเจ็บปวดนั้นอีกครั้ง มันเป็นความรู้สึกที่แทบจะทนไม่ได้อย่างไม่มีเหตุผล แต่กลับรู้สึกว่ามันจริงมากๆ ในประสบการณ์ของเรา เป็นความรู้สึกแบบใหม่ที่เราไม่เคยรู้จักมาก่อน เป็นชีวิตอีกแบบที่เราไม่เคยชิน แต่ในวันที่หลายๆ อย่างเริ่มพังทลายลง ชีวิตแบบนี้ได้เข้ามาเคาะประตูบ้านของเราผ่านความเจ็บ และเราก็รู้สึกว่าไม่สามารถหนีมันได้อีกต่อไปแล้ว เราจึงเริ่มต้นสัมพันธ์กับมันผ่านช่องทางเดียวที่เป็นไปได้ นั่นคือการภาวนา

ทุกครั้งที่นั่งภาวนา เราปล่อยตัวเองหยั่งลงไปในพื้นที่ของร่างกาย ผ่านความวูบวาบในเนื้อตัว ลงไปสู่ความอึดอัด เจ็บ และอยู่ได้ยาก บางทีมันรู้สึกเหมือนพาตัวเองลงไปในปล่องภูเขาไฟที่ใกล้ระเบิด มันรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างที่เริ่มสุก แต่ก็ยังไม่สุกงอมดี มันเป็นความก้ำๆ กึ่งๆ ไม่ชัดเจน เต็มไปด้วยหมอกควันที่ตลบอบอวลและน่าอึดอัดอย่างยิ่ง แต่เราก็ฝึกที่จะอยู่ตรงนั้นอย่างเต็มใจ ไม่คาดหวังให้ภูเขาไฟดับลงหรือระเบิดออก

บางครั้งจู่ๆ ก็มีความท่วมท้นปะทุขึ้นมา ความท่วมท้นที่ไม่ใช่ทั้งความเศร้าและความสุข แต่เป็นการทะลักล้นของความรู้สึกบางอย่างที่ทำให้น้ำตารื้นและบางครั้งก็ไหลออกมาพร้อมเสียงสะอื้น บางครั้งก็มีแวบของการมองเห็นตัวเอง เห็นความพยายามที่เราใช้จัดการความเจ็บปวดนี้มาโดยตลอดด้วยหลากหลายวิธี บางครั้งก็เห็นปัจจัยบางอย่างที่ทำให้เราเจ็บปวดอยู่ตอนนี้ แต่ทั้งหมดนี้เมื่อมันปรากฏขึ้นมาในใจ มันก็จะหายไป ซึ่งหากเราไม่ได้ตามมันไป เราก็จะกลับมาอยู่ตรงนี้กับความทุกข์ในร่างกายตามที่เป็นจริงเหมือนเดิม

วันแล้ววันเล่า เราได้เผชิญหน้ากับตัวเองผ่านการภาวนา ซึ่งบางครั้งเราก็เผลอกลับไปใช้วิธีเดิมๆ เพื่อหลีกหนีความเจ็บปวด บางทีเราก็อยากทำความเข้าใจ แก้ไข หรือเยียวยาทุกข์นี้ให้หายไป แต่นั่นก็เป็นบทเรียนครั้งที่นับไม่ถ้วน ว่ามันไม่ใช่ทางออก ทว่าทางออกที่แท้จริงคือทางเข้า สุดท้ายเราก็จะกลับมาที่เดิม บนเบาะของเรา และนั่งอยู่กับความโกลาหลทั้งหมดนี้กับตัวเราเอง

สถาบันวัชรสิทธา ก่อตั้งขึ้นเพื่อเป็นพื้นที่ทดลองทางการศึกษา บนพื้นฐานของการภาวนา การใคร่ครวญด้วยใจ และการแลกเปลี่ยนประสบการณ์อย่างเป็นมนุษย์ระหว่างผู้เรียน