บทความโดย ภิกษุณีเจ็งเคอร์ ฉี
เรียบเรียงโดย ทีมงานวัชรสิทธา
“โพธิจิตไม่ใช่สิ่งไกลตัว ไม่ได้เป็นเพียงคำสอนในตำรา แต่คือวินาทีที่เรายอมรับใจตัวเองได้ด้วยความอ่อนโยน”
ภิกษุณีเจ็งเคอร์ ฉี
มีครั้งหนึ่งที่ฉันหลงทาง ขณะกำลังจะเดินไปสถานที่นัดหมาย รู้ตัวว่าจริง ๆ แล้วที่ที่ต้องไปอยู่แค่ตรงสี่แยกข้างหน้า แต่กลับเดินเลยไปจนถึงสามแยก ตรงปั๊มน้ำมัน ตั้งสามรอบ ตอนนั้นใจวุ่นวายมาก คิดว่า “นี่เรามาสาย คนอื่นคงรอแล้วแน่ๆ ไม่ดีเลย” ความกลัว ความรู้สึกผิด ความไม่สบายใจประเดประดังขึ้นมาพร้อม ๆ กัน
พอมองลึกลงไปจึงพบว่า เบื้องหลังความกระวนกระวาย คือความรู้สึกเปราะบาง—อยากให้ใครสักคนมาช่วย อยากรู้สึกว่าตัวเองไม่เดียวดาย
นี่แหละคือจุดเริ่มของ “การภาวนา” มันไม่ใช่เรื่องใหญ่ หรือไกลตัวเลย แค่เราหยุดแล้วดูใจตนเองในช่วงเวลาที่กำลังเจ็บปวด ไม่สบาย หรือหวั่นไหว เราก็ได้เข้าใกล้โพธิจิตแล้ว
โพธิจิต ไม่ใช่แค่ความปรารถนาจะช่วยเหลือผู้อื่นเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความอ่อนโยนที่เรามีต่อตัวเองในห้วงเวลาแห่งความทุกข์ ในฐานะผู้ปฏิบัติธรรม สิ่งที่ทำให้เราต่างจากผู้ที่ไม่ปฏิบัติ คือเรารู้ว่าความสุขเกิดขึ้นได้ เมื่อเข้าใจและเผชิญกับทุกข์อย่างตรงไปตรงมา
ทุกข์เกิดขึ้นจากอะไร? ก็จากสิ่งที่ไม่เป็นดังใจ เช่น คำพูดที่ทำให้เจ็บ การกระทำที่ทำให้รู้สึกไม่ปลอดภัย หรือสถานการณ์ที่ไม่เป็นไปตามความคาดหวังของเรา
เวลาไม่ภาวนา ใจเรามักพุ่งออกไปข้างนอก ไปโทษคนนั้นคนนี้ โทษสถานการณ์ แต่เมื่อฝึกภาวนา เราจะเริ่มหันกลับมามองที่ใจตัวเอง แล้วถามว่า “อะไรคือรากของทุกข์?” แล้วพร้อมจะทำงานกับคำถามนั้นอย่างลงลึก
ตัวอย่างเช่น ถ้าเรารู้สึกอึดอัดกับที่นั่ง เราก็ขยับไปนั่งตรงที่สบายขึ้น การจัดที่ให้นั่งสบายก็เป็นส่วนหนึ่งของโพธิจิตเช่นกัน คือการดูแลตัวเองอย่างอ่อนโยน แล้วค่อยหันกลับมาดูใจ เวลาทำงานกับภายในตัวเอง คนอื่นอาจไม่รู้เลยว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ แต่เรารู้ เรากำลังดูใจและฝึกใจตัวเอง และในกระบวนการนั้น เรารู้ว่าใจของเรากำลังเปลี่ยนไปอย่างลึกซึ้ง
เบื้องหลังของความทุกข์คือการยึดมั่นในตัวตน ด้วยการพยายามปกป้องตัวเอง เรายึดว่า “นี่คือตัวเรา” เมื่ออยู่กับความทุกข์อย่างตรงไปตรงมาไม่ได้ เราจึงหุนหันตามพลังกิเลสและตัณหา ไปสู่การยึดมั่นในตัวตน ที่เป็นต้นเหตุแห่งทุกข์
แทนที่จะหมุนรอบตัวเอง คำสอนโพธิจิตเสนอว่า ถ้าเรารักตัวเองและอยากปกป้องตัวเองขนาดนั้น งั้นลองพลิกเปลี่ยนไปเป็นรักผู้อื่นและอยากปกป้องผู้อื่นแทน นี่คือการเปลี่ยนทิศทางของหัวใจ
ครั้งหนึ่งฉันป่วยหนัก เหมือนมีอะไรผิดปกติในหู ลุกขึ้นทีไรก็อาเจียน บ้านหมุน แต่ฉันกลับเลือกที่จะไปปลีกวิเวก ไม่ไปหาหมอ คิดว่า “ไหนๆ ก็ป่วยแล้ว นี่แหละคือรีทรีทของฉัน”
ฉันภาวนาว่า “หากใครก็ตามบนโลกนี้กำลังเจ็บป่วยแบบเดียวกับฉัน ขอให้ฉันได้ร่วมแบกรับความเจ็บปวดนั้น เพื่อเขาจะได้หลุดพ้นจากความทุกข์” แล้วรู้ไหมว่าใครคือคนแรกที่ได้รับการปลดปล่อยจากความเจ็บปวด?
…ตัวฉันเอง
เพราะตอนที่ยอมรับความเจ็บปวดนั้นอย่างเต็มที่ มันเหมือนใจเปิดออก จากเดิมที่พยายามปฏิเสธหรือหลบหนี กลายเป็นเปิดรับและศิโรราบ
แม้ทุกวันนี้อาการนั้นจะยังมีอยู่ แต่มันก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อการเดินทางหรือการใช้ชีวิตของฉันอีกต่อไป
ครั้งหนึ่งมีคนส่งข้อความไลน์มาหาในลักษณะค่อนข้างเผชิญหน้า ฉันรู้สึกทริกเกอร์ แต่เมื่อย้อนกลับไปดู เห็นว่าฉันเองเป็นคนตีความเขาไปก่อนแล้ว พอตั้งสติ ก็เปลี่ยนวิธีตอบอย่างอ่อนโยน — คำตอบนั้นแปรเปลี่ยนพลังของการสื่อสารในทันที
เพราะฉะนั้น การทำงานกับใจ ไม่ได้จบแค่ในใจ แต่ส่งผลต่อการกระทำและความสัมพันธ์ต่อคนรอบข้างด้วย
ในช่วงสุดท้าย ฉันเชิญชวนทุกคนให้นั่งภาวนาอย่างผ่อนคลาย ขอบคุณผืนดิน ท้องฟ้า เวลานี้ ขอบคุณพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ เพื่อนร่วมทาง และแม้กระทั่งผู้คนที่ทำให้เราเจ็บปวด เพราะความเจ็บปวดนั้นเองที่ทำให้เราเติบโตบนเส้นทางจิตวิญญาณ
ลองจินตนาการว่ามีแสงสว่างพาดผ่านศีรษะลงมาแตะที่กลางใจ ให้เราอธิษฐานสิ่งใดก็ได้ที่เกิดจากหัวใจ—ความรัก ความกรุณา ความเข้าใจ ความดีงาม —เพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้เราเดินบนเส้นทางโพธิสัตว์อย่างมั่นคง