เซ็นจู เอิร์ธลิน มานูเอล เขียน
ทีมงานวัชรสิทธา เรียบเรียง
ภาพประกอบโดย Nakkusu
สิ่งใดก็ตามที่ผุดขึ้นมาในจิต ล้วนได้รับการปลดปล่อยแล้วแต่เดิม นี่ไม่ใช่สิ่งที่เรามักได้ยิน เมื่อเริ่มต้นเรียนรู้การภาวนา คำแนะนำเกี่ยวกับการภาวนามักจะ เน้นที่ลมหายใจ และมักจะกล่าวถึงความคิดเพียงผิวเผิน ราวกับว่ามันเป็นแค่สิ่งที่เกิดขึ้นแทรกเข้ามาระหว่างช่วงที่เรากำลังหายใจอยู่ และบ่อยครั้ง เราก็ไม่รู้เลยว่าควรทำอย่างไรกับความคิดทั้งหลายเหล่านั้น แน่นอนว่า เราไม่รู้สึกเลยว่าเรากำลังอยู่ในประสบการณ์ของการปลดปล่อย เวลาที่เรากำลัง “คิด” อยู่
เมื่อฉันยังเป็นเด็ก ฉันมักจะฝันกลางวัน เมื่อโตขึ้น ฉันก็ยังคงฝันกลางวัน เพลิดเพลินไปกับการหมุนวนความคิดเก่าและใหม่มันกลายเป็นเกมในวัยเด็กประเภทหนึ่ง ฉันสนุกกับการกลับไปดูและประเมินถึงสิ่งที่จิตนำมาให้ ฉันเริ่มเขียนสิ่งที่ฉันคิดเกี่ยวกับความคิดเหล่านี้ และก็กลายเป็นความคิดมากขึ้นอีก มันเป็นกิจกรรมส่วนตัวที่ไม่มีวันสิ้นสุด ต่อมาฉันตระหนักได้ว่ากิจกรรมการฝันกลางวันของฉันได้สร้างคลังสะสมความคิดนับล้านที่ฉันจะหยิบใช้เมื่อฉันเบื่อหรือต้องการอะไรทำ เมื่อฉันเริ่มที่จะเอาการภาวนาเป็นการฝึกฝน คลังสะสมนั้นกลายเป็นสิ่งที่ฉันพึ่งพาเพื่อให้เกิดการตื่นตัว เพื่อสร้างความบันเทิง หรือเพื่อให้เวลาผ่านพ้นไป มันคือรูปแบบในการภาวนาของฉัน
ในที่สุด หลังจากนั่งในความเงียบและความสงบในการฝึกแบบเซนมาระยะหนึ่ง ทันใดนั้นฉันก็หยุดการภาวนาแบบของฉัน หมายความว่า ฉันหยุดฝันกลางวัน ฉันหยุดนับลมหายใจหรือพยายามนิ่งสงบ ฉันปล่อยความพยายามทุกอย่างที่จะอยู่ในปัจจุบัน หรืออยู่ในช่วงเวลานั้น ที่จะทำสิ่งนี้หรือสิ่งนั้น ฉันเพียงแค่นั่งราวกับว่าฉันไม่ได้นั่งภาวนา ราวกับว่าฉันไม่ใช่ผู้ภาวนา ไม่ใช่พระเซน ไม่ใช่ชาวพุทธ ไม่ใช่ครู ไม่ใช่นักเรียน ไม่ใช่ในฐานะใครเลย แต่เป็นเพียงลมหายใจของอดีตอันเก่าแก่ ด้วยการหายใจเช่นนั้นในสถานะที่ไร้การภาวนา จิตเข้าสู่ความเป็นอิสระและปล่อยให้ความคิดทำในสิ่งที่มันทำ ผุดขึ้นในความตระหนักรู้และดับไปเอง ฉันเป็นอิสระจากทุกสิ่งที่ฉันเคยถูกบอกให้ทำกับความคิดของฉัน ฉันเป็นอิสระที่จะพักในความตระหนักรู้และการตื่นรู้โดยไม่รู้สึกว่ามีอะไรต้องทำ
จิตเป็นดั่งมหาสมุทร
หากคุณมองความคิดทั้งหลายว่าเป็นภาพสะท้อนบนน้ำ มันปรากฏขึ้นแล้วก็หายไป เปรียบเหมือนคลื่น ความคิดลอยตัวขึ้นแล้วดำดิ่งกลับสู่ตัวมหาสมุทรที่มันมา เมื่อมันลอยขึ้น ประสบการณ์ดั้งเดิมของความตระหนักรู้และการหลุดพ้นกำลังถูกปรากฏด้วยแต่ละความคิด เราอาจเห็นภาพของสิ่งต่างๆ ผู้คน สถานที่ และไอเดียต่างๆ ผุดขึ้นมาในดวงตาของจิตเรา แต่ ไม่มีสิ่งใดเลยในความคิดเหล่านั้นที่จำเป็นต้องถูกเปลี่ยนแปลงในชั่วขณะนั้น และก็ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนมันด้วย เราอาจหยุดและพูดว่า “อา ฉันต้องไปจัดการเรื่องนั้น” หรือ “โอ้ ไม่ ไม่ใช่เรื่องนั้นอีก” แต่หากเรา ไม่ตอบสนองมัน หากเรา ไม่รีบไปเล่าให้ใครฟังเกี่ยวกับความคิดใดความคิดหนึ่งในบรรดาพันความคิดของเรา เราจะสามารถสัมผัสมันได้ในฐานะ ‘การหลุดพ้น’ ที่กำลังเกิดขึ้น เพราะมันลอยขึ้นและดำดิ่งกลับสู่มหาสมุทร นี่คือเหตุผลที่ผู้คนเรียกมันว่าการขี่คลื่น (riding the waves) อนุญาตให้น้ำพัดพาความคิดทั้งมวลของเราไหลฝ่านไป ด้วยวิธีนี้เอง ความคิดและการคิดทั้งหมด สามารถเป็นประสบการณ์ของการหลุดพ้น
ความคิดเกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติและเคลื่อนไหวไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งสามารถมอบประสบการณ์ของการปลดปล่อยและอิสรภาพแก่คุณ หากคุณกล้าพอที่จะปล่อยให้มันผ่านไป คุณสามารถปล่อยมันไปโดยไม่รู้สึกว่าคุณอาจพลาดสิ่งสำคัญหรือน่าสนใจบางอย่างหรือไม่ คุณสามารถขี่คลื่นของความคิดโดยไม่ถูกล่อลวงได้หรือไม่
จิตเป็นแสงสว่าง
ความคิดทั้งหมดเป็นแสงสว่างใส (ทิเบต: ‘od gsal) ลองเชนปะ ปราชญ์โยคีชาวทิเบตในศตวรรษที่ 14 แห่งสายธรรมนิงม่าของพุทธศาสนาทิเบต ซึ่งเป็นที่รู้จักจากผลงานยิ่งใหญ่เกี่ยวกับซอกเซน กล่าวไว้ เมื่อกล่าวว่า ความคิดทั้งหมดเป็นแสงสว่างใส หมายความว่าเมื่อความคิดเกิดขึ้น มันคือประสบการณ์ของการตระหนักรู้และการตื่นรู้ แสงคำสอนแห่งธรรมะที่ถูกส่งต่อจากอดีตกาล ได้ส่องสว่างมายังความคิดทั้งหมด
ธรรมชาติของจิตคือการเผยให้เห็นหรือส่องประกายสิ่งที่สะท้อนบนมหาสมุทรแห่งจิตของเราในการภาวนา เราอาจพยายามกดข่มความคิดของตนเอง หรือ ใช้ลมหายใจเพื่อให้มันหายไป แต่ในทางตรงกันข้าม การไม่ภาวนา (nonmeditative act) กลับหมายถึง การยินยอมให้ความกระจ่างใส (lucidity) และความชัดเจน (clarity) อันเป็นธรรมชาติของจิตได้ทำงานเพื่อเรา เรามักได้ยินคำว่า “เห็นอย่างแจ่มชัด” หรือ “ความกระจ่างชัด” อยู่เสมอ หลายคนแสวงหาความชัดเจนนี้ในการภาวนา ทว่าในความเป็นจริง ความชัดเจนมีอยู่โดยธรรมชาติในความกระจ่างใสของความคิดเมื่อมันปรากฏขึ้น ในภาวะที่ไร้การภาวนา เราเพียงแค่ “เห็น” เท่านั้น ซึ่งคล้ายกับแนวปฏิบัติ ซาเซ็น ในสายโซโตเซน ที่ผู้ปฏิบัติ เพียงแค่นั่งเห็น ไม่ตีความ ไม่พิจารณา เราอาจถูกล่อลวงให้ ตีความทางจิตวิทยา ใช้สติปัญญาวิเคราะห์ หรือสร้างแนวคิด ต่อสิ่งที่ปรากฏขึ้นมาในจิต แต่หากเราสังเกตให้ดี เราจะเห็นว่าความคิดจะเริ่มสับสนเมื่อเราทำเช่นนั้น และมันจะเริ่มจางหายไป หรือกลายร่างเป็นสิ่งอื่นโดยสิ้นเชิง บางครั้ง ความคิดก็เคลื่อนผ่านไปอย่างรวดเร็ว แล้วเราก็พยายามดึงกลับมา เพราะคิดว่ามันคือความคิดเดิม ทั้งที่ในความจริงแล้ว มันเป็นความคิดคนละดวงที่แค่มีฉากหรือบทต่อขยาย เพิ่มขึ้นมาเท่านั้น
จะเป็นอย่างไร หากคุณเพียงแค่ อยู่กับแสงสว่างที่ส่องลงบนความคิดของคุณ โดยที่ ไม่ต้องทำอะไรกับมันเลยจะเป็นอย่างไร หากคุณ ไม่หยุดเพื่อพยายามแก้ไขจิตของคุณไม่พยายามหายใจให้แรงขึ้น ไม่ปรับเปลี่ยนท่านั่ง หรือไม่รู้สึกว่าคุณล้มเหลวต่อคำสอนของครูผู้แนะนำ จะเป็นอย่างไร หากคุณเพียงแค่ มอง ไม่ใช่ “สังเกต” หรือ “เฝ้าดูตนเอง” แบบที่เคยทำ แต่ให้คุณมองดูความคิดเหล่านั้น ราวกับว่ามันคือแสงอาทิตย์หรือแสงจันทร์ที่กำลังสะท้อนอยู่บนระลอกคลื่นในมหาสมุทรของจิตใจคุณ คลื่นแต่ละลูก โผล่ขึ้นมา จมลงไป แล้วก็โผล่ขึ้นมาอีก แต่ทั้งหมดก็ได้รับการส่องสว่างด้วย นี่คือคำสอนโบราณที่ถูกส่งต่อมาแล้ว และ ก้าวต่อไปจากจุดนี้ ก็คือ การวางใจว่าคุณมีความสามารถโดยธรรมชาติอยู่แล้ว ในการ “เห็น” เช่นนั้นได้ ไม่จำเป็นต้องฝึกฝนสิ่งใดอีกเลย
จิตที่หลุดพ้นโดยธรรมชาติ
เราได้รับการสอนว่าให้แสวงหาความหลุดพ้นจากภาพลวงตาและการรับรู้ของเราเอง และมันก็ทำให้เราเข้าใจไปว่า เราต้องทำบางสิ่งบางอย่างกับมัน เหนือสิ่งอื่นใด เราได้รับการปลูกฝังเสมอมาว่า เราจำเป็นต้องฝึก ฝึก และฝึกต่อไป จนกว่าเราจะหลุดพ้น แต่เรากลับพบว่าอิสรภาพเช่นนั้นช่างยากจะคว้า ยากจะเข้าถึง ราวกับเป็นภาพลวงตา เรายังคลางแคลงไม่แน่ใจเสียด้วยซ้ำว่า ประสบการณ์ของความหลุดพ้นนั้นมันคืออะไรกันแน่ ผู้ที่ภาวนามายาวนานหลายปี บางคนอาจพูดราวกับว่าตนเอง เป็นอิสระจากความหลงผิดแล้ว พวกเขาได้ “พัฒนา” เพราะผ่านการฝึกอย่างต่อเนื่องยาวนาน แต่ในเวลาเดียวกัน คนเหล่านั้นก็ยังมีความคิดผุดขึ้นเป็นพันความคิดต่อนาที เหมือนกับคนทั่วไปพวกเขาอาจไม่ยอมรับความจริงข้อนี้ แต่บางที พวกเขาอาจยอมรับก็ได้ หากรู้ว่าในทุกครั้งที่ความคิดถูกปลดปล่อยออกไปจากจิตนั้นเอง คือการได้สัมผัสกับ ประสบการณ์ของความหลุดพ้นและการตระหนักรู้
ฉันมักแบ่งปันว่าเราไม่ได้แสวงหาการหลุดพ้นจากสิ่งใด แม้แต่จากความทุกข์ของเรา ฉันพูดเช่นนี้เพราะฉันได้ประจักษ์ด้วยตัวเองว่าการหลุดพ้นคือการเข้าใจธรรมชาติของจิตผ่านการตระหนักรู้ถึงภาพลวงตา การรับรู้ ฯลฯ ไม่ใช่การกำจัดสิ่งเหล่านี้ทิ้งไป การหลุดพ้นเกิดขึ้นอยู่เสมอ ทุกครั้งที่ความคิดลอยขึ้นและจางหาย นั่นคือประสบการณ์การหลุดพ้น ตราบเท่าที่เราไม่ยึดติดกับความคิดนั้นหรือไม่วิเคราะห์มัน ด้วยความคิดเหล่านั้น เรากำลังถูกทำให้ตระหนักรู้ ในความตระหนักรู้และการปล่อยความคิดดังกล่าว การหลุดพ้นก็เกิดขึ้นแล้ว เมื่อเราตระหนักถึงการหลุดพ้นเป็นความตระหนักรู้ ความคิดเป็นความตระหนักรู้ เราเรียนรู้ว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ขึ้นอยู่กับเรา การหลุดพ้นไม่ได้มีเงื่อนไขจากความสำเร็จของเราในการภาวนา หากความคิดเป็นการกระทำของการหลุดพ้น แต่ละความคิดคือการปลดปล่อย เว้นแต่คุณจะกักขังมัน ในการอนุญาตให้ความคิดปล่อยตัวมันเอง คุณมีประสบการณ์ทันทีของอิสรภาพและการตระหนักรู้
ความรู้ที่มีอยู่โดยธรรมชาติในมหาสมุทรแห่งจิตใจของเราคือ การเลือกระหว่างหรือแบ่งแยกระหว่างการมาและไป ดีและชั่ว ภายในและภายนอก เบื้องบนและเบื้องล่าง ความหวังและความกลัว คลื่นและมหาสมุทร คือการถูกจับเป็นเชลยของสิ่งหนึ่งหรืออีกสิ่งหนึ่ง หากเราเลือกสิ่งหนึ่งหรืออีกสิ่งหนึ่ง มันขัดขวางการส่องประกายของสรรพสิ่ง เรามักจะไม่เลือกระหว่างดวงจันทร์และดวงอาทิตย์เป็นทางเลือกของแสงสว่าง เว้นแต่เราจะเพิ่มลักษณะดีและชั่วให้กับดวงจันทร์หรือดวงอาทิตย์ หากเราไม่ได้ประจักษ์แจ้งว่าทุกสิ่งที่ถูกแสดงผ่านความคิดของเราเป็นการปลดปล่อย จิตธรรมดาสามัญยังคงดิ้นรนและถูกจับเป็นเชลยของสิ่งนี้หรือสิ่งนั้น มันดิ้นรนเพื่อทิ้งสิ่งที่ไม่ต้องการและยึดมั่นในสิ่งที่จำเป็น สิ่งที่ชื่นชอบ หรือสิ่งที่ต้องการ เราเสริมการยึดมั่นนั้นแม้ว่าเราจะมีประสบการณ์ว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะยึดอะไรไว้ตลอดไปหรือแม้แต่สักครู่ ธรรมชาติที่แท้จริงของจิตใจคือไม่มีการแบ่งแยกหรือการยกเว้น ไม่มีสิ่งนี้หรือสิ่งนั้น จิตธรรมดาสามัญของเราอาจบอกว่านี่ไม่จริง โดยเฉพาะหากประสบการณ์ของชีวิตเต็มไปด้วยความทุกข์บีบบังคับให้ต้องแยกแยะ แบ่งฝักแบ่งฝ่าย กระนั้นก็ตาม จิตก็ยังคงมีความหลุดพ้นโดยธรรมชาติอยู่แล้ว แม้ขณะที่เรากำลังคิดเกี่ยวกับความแบ่งแยกเหล่านั้น ความอยุติธรรมต่างๆ หรือความโน้มเอียงของมนุษย์ด้วยธรรมชาติที่ก่อให้เกิดความทุกข์ต่อกัน
ภาวนาโดยธรรมชาติเดิมแท้
บางคนอาจตั้งคำถามว่า “ถ้าอย่างนั้น ทำไมการทำภาวนาจึงมีอยู่และทำไมจึงมีการสอนอยู่มากมาย” การภาวนาที่สอนอยู่นี้คือเพื่อช่วยเรามนุษย์ยุคใหม่อย่างเราที่อยู่ในสภาวะที่มีสิ่งที่ต้องทำและลงมือกระทำอยู่ตลอดเวลา การภาวนาวิวัฒนาการมาจากยุคที่มนุษย์ยุ่งน้อยกว่าปัจจุบัน ฉันสงสัยว่าเมื่อย้อนกลับไป การภาวนาไม่ใช่สิ่งที่ต้องสอนกัน แต่เป็นประสบการณ์ที่เกิดขึ้นกับคนที่จิตใจสงบเพียงพอ จนกระทั่งการภาวนาได้ปรากฏขึ้นมาในตัวพวกเขา และเข้าถึงสภาวะจิตที่ตั้งมั่นขึ้นในสภาวะของการภาวนาโดยธรรมชาติเดิมแท้ มันจะไม่ใช่การภาวนาในแบบที่เราได้รับการสอนในปัจจุบันโดยเฉพาะในวัฒนธรรมและสังคมตะวันตกเป็นส่วนใหญ่ แต่มันคือสภาวะการภาวนาโดยธรรมชาติเดิมแท้ที่เราถวิลหา สภาวะที่ครั้งหนึ่งเราเคยเข้าถึงได้ในโบราณกาล อย่างไรก็ตาม ฉันก็มิได้หมายความว่า ในยุคปัจจุบันจะไม่มีใครเข้าถึงภาวะของภาวนาเช่นนั้นได้
กระนั้นก็เถิด ไม่มีอะไรที่จะต้องบรรลุในการภาวนา ในคำสอนเซน ไม่มีสิ่งใดให้บรรลุ สิ่งนี้อาจทำให้หลายคนกลัว “โอ้ ไม่ แม้แต่การภาวนาก็ไม่สามารถช่วยเราได้” อย่าได้กลัว ในขณะที่การนั่งภาวนาด้วยข้อกำหนดเรื่องท่าทาง ข้อกำหนดเรื่องการหายใจ และอื่นๆ ก็ยังสามารถช่วยและเกื้อหนุนชีวิตของเราได้ อย่างน้อยมันก็ช่วยและเกื้อหนุนชีวิตของฉัน ยังมีการภาวนาโดยธรรมชาติเดิมแท้นี้ที่เกิดขึ้นเองภายในตัวเรา การภาวนาโดยธรรมชาติเดิมแท้นี้เต็มไปด้วยความตระหนักรู้ที่แผ่ไปทุกหนทุกแห่ง สิ่งใดก็ตามที่ปรากฏขึ้นในจิตของคุณก็จะเป็นโอกาสที่จะพักในการตระหนักรู้ ในแสงสว่างใส ไม่ว่ามันจะนำความสบายใจหรือความไม่สบายใจ ไม่จำเป็นต้องทำ การปล่อยความคิดเพราะมันจะปลดปล่อยตัวมันเองหากคุณปล่อยให้มันเกิดขึ้น สถานะธรรมชาติของการดำรงอยู่ของเราคือการพักแม้อยู่ภายในห้วงแห่งปัญหาและความมืดมิดของเราก็ตาม ความไม่สงบจะก่อขึ้นเมื่อเราคิดว่าคลื่นในมหาสมุทรกำลังก่อตัวเป็นสึนามิ(ซึ่งมันอาจจะเกิดขึ้นก็ได้) และจะพัดพาเราไป(ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นก็ได้) เมื่อคุณสามารถเห็นความคิดดั่งดวงจันทร์หรือดวงอาทิตย์ที่ส่องสว่างบนคลื่นที่ลอยขึ้นในตัวคุณ การภาวนาโดยธรรมชาติเดิมแท้อาจปรากฏ คุณอาจได้ประจักษ์แจ้งถึงพื้นที่ดั้งเดิมและเก่าแก่ของชีวิตในการปรากฏของความคิดการภาวนาโดยธรรมชาติเดิมแท้ได้เกิดขึ้นในตัวคุณแทนการภาวนาที่คุณต้องฝืนสร้างขึ้นมา คุณไม่ต้องไปมองหาหรือภาวนาขอประสบการณ์เฉพาะของการภาวนา การภาวนาอยู่กับคุณอยู่แล้ว มันเกิดขึ้นแล้ว ประสบการณ์ภาวนาโดยธรรมชาติที่หลุดพ้นนี้ได้เกิดขึ้นนับพันครั้งต่อวัน คุณอาจรู้สึกได้ว่ามันมาและก็ไป คุณไม่สามารถยึดและใช้มันเป็นพลังพิเศษได้ เมื่อคุณอนุญาตให้มันมาและอนุญาตให้มันไป เมื่อเวลาผ่านไปมันจะเป็นเนื้อเป็นตัวคุณในการดำรงอยู่ นี่คือประสบการณ์ของฉัน
ในบ้านของคุณ ควรมีพื้นที่สักแห่งหนึ่งที่คุณสามารถนั่งเงียบๆ ได้ คุณไม่ต้องทำอะไรเป็นพิเศษ การภาวนาโดยธรรมชาติเดิมแท้ไม่จำเป็นต้องกำหนดเวลา ปล่อยให้ร่างกายของคุณอันเต็มไปด้วยกระดูกเก่าแก่ของบรรพบุรุษได้เป็นผู้ตัดสินว่าคุณควรนั่งในความเงียบนานแค่ไหน ร่างกายจะสงบลงด้วยตนเอง หายใจเหมือนกับที่มันหายใจตั้งแต่สมัยของบรรพบุรุษของคุณ