บทความโดย ธนันปภัสร์
.
ถ้าการไปเวิร์คชอป หรือรีทรีทเข้มข้นอะไรสักอย่างนึง เหมือนการกระโดดพุ่งลงบ่อจระเข้แล้วละก็ การแพ้ท้องหลังจากเพิ่งรู้ตัวว่าจะเป็นแม่คนนั้น ก็ไม่ต่างอะไรกับการถูกดึงพื้นออกจากเท้าแบบฉับพลัน แล้วข้างล่างเป็นบ่อจระเข้นั่นแหละ
ไม่ว่าจะพร้อมแค่ไหน ยังไงก็ไม่พร้อมอยู่ดี
ถ้าจะให้อธิบายอาการแพ้ท้องแบบเข้าใจง่ายๆ คงประมานว่าเหมือนร่างกายเข้าสู่ช่วงระยะท้าย กินไม่ได้ จนเหมือนร่างกายลืมความสามารถในการกิน อ่อนเพลีย ไม่มีแรง อ้วก และนอนได้ทั้งวัน
ถึงแม้กายจะทรุด แต่จิตกลับเปิดกว้างอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เป็นช่วงเวลาที่โคตรท่วมท้น ได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น แม้สิ่งนั้นจะตั้งอยู่ตรงหน้ามาทั้งชีวิตก็ตาม
ถึงจะทรมานทุรนทุรายขนาดไหน ก็ยังโชคดีที่สามารถตระหนักได้ว่า นี่คือช่วงเวลาที่สำคัญของชีวิต โชคดีที่เราสามารถจะเคลียร์พื้นที่และเวลาได้มากพอ ที่จะเฝ้ามองปรากฎการณ์ครั้งนี้อย่างใกล้ชิด…ในฐานะแม่ฝึกหัด
และที่สำคัญคือ…ในฐานะผู้ปฏิบัติที่กำลังเผชิญหน้ากับประสบการณ์ตรงที่ท้าทายทั้งร่างกายและจิตใจ
…….
ร่างกายเรา ที่ไม่ใช่(แค่)ของเรา
สิ่งที่แม่ฉัน หมอสูติฯ และพระพุทธเจ้า พูดเหมือนกันเกี่ยวกับอาการแพ้ท้องคือ “มันเป็นเช่นนั้นแหละ” มันไม่ใช่อาการป่วย เป็นสิ่งที่ไม่มีใครรักษา แก้ไข หรือพยายามทำให้หายไป เหมือนเป็นทางที่ถ้าอยากจะเป็นแม่คนก็ต้องผ่าน (แต่แม่บางคนโชคดีที่ไม่แพ้ ก็มีเหมือนกันนะ)
การที่ร่างกายเข้าสู่กระบวนการสร้างสิ่งมีชีวิต ร่างกายที่คุ้นเคย จู่ๆ ก็กลายเป็นที่ที่เราไม่รู้จัก เราไม่สามารถควบคุมอะไรได้เลย เหมือนร่างกายกำลังอัปเดต ios ใหม่ สิ่งเดียวที่ทำได้คือปล่อยการควบคุมทั้งหมด และอยู่กับสิ่งที่ผุดปรากฏขึ้นตรงหน้าในปัจจุบันขณะเท่านั้น เรียกสวย ๆ คือ “ศิโรราบ”
แต่เอาจริง ตอนนั้นรู้สึกเหมือนหลังชนฝา หมาจนตรอกซะมากกว่า มันเลือกอะไรได้ซะที่ไหน การที่ต้องอยู่ตรงนั้น ทั้ง ๆ แบบนั้น เป็นทางเลือกเดียวที่เรามี มันโรลเลอร์โคลสเตอร์สุด ๆ เดี๋ยวขึ้น เดี๋ยวลง เดี๋ยวดี เดี๋ยวแย่ เมื่อไหร่ที่คิดว่าเอาอยู่ ความฉิบหายก็จะเกิดขึ้นแทบทันที ซึ่งสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นไม่ต้องออกไปผจญภัยอะไร มันเกิดขึ้นตอนเรานอนเฉย ๆ บนโซฟาบ้านเราเอง
.

.
อีกฟากนึงของจิตที่ไม่เคยรู้จัก
และเมื่อร่างกายถูกปลดออกจากการควบคุมอย่างจำยอม สภาวะนั้นจิตก็ไปสู่อีกพื้นที่นึงที่ไม่เคยไปถึงมาก่อน เรารู้สึกเหมือนถูกผลักลงสู่แม่น้ำสายใหญ่ของมวลมนุษยชาติที่ไม่เคยขาดสาย ในวินาทีที่กำลังทรมาน กลับมีแว้บนึงที่ตระหนักได้ว่า นี่ไม่ใช่ความทุกข์ครั้งแรกของโลก แม่หลายพันล้านคน หลายเจนเนอเรชั่น หลายพันปี ล้วนผ่านความทุกข์นี้มาแล้วทั้งสิ้น เราไม่ได้เผชิญหน้ากับเรื่องนี้เพียงลำพัง ทันใดนั้นความอบอุ่นเล็กๆ ก็ปรากฏขึ้นในใจ
ในวินาทีนั้น เรารู้สึกถึงความสามารถในการเชื่อมโยงตัวเองกับความเป็นแม่ของผู้คนทั้งโลกได้ แม้จะไม่เคยพบเจอกันมาก่อน แต่กระบวนการทรานฟอร์มร่างกายและจิตใจ ทำให้รู้สึกเปิดเปลือยและเชื่อมต่อ ทำให้รู้สึกทั้งทุกข์และสุขไปพร้อม ๆ กัน รู้สึกถึงสเปซที่ยิ่งใหญ่ไพศาลในการโอบอุ้มโอบรับ เหมือนที่มหายานไปเปรียบเทียบความเป็นแม่ พระพุทธมารดากับพระแม่ปรัชญาปารมิตา ที่ว่าด้วยการข้ามพ้นทวิภาวะไปสู่ความว่าง ความกว้างใหญ่และเป็นแหล่งกำเนิดของทุกสรรพสิ่ง
หลังจากนั้นทุกครั้งที่ได้เห็นผู้คนในชีวิตประจำวัน ในท้องถนน ในร้านค้า พลันย้อนนึกกลับไปว่า มีความพยายามมากมายแค่ไหนของแม่ ของครอบครัวที่ทำให้เขามายืนอยู่ตรงนี้ มาปรากฎอยู่ตรงหน้าเราตอนนี้ได้ ในชั่ววินาทีนั้น ความเป็นอื่นเหมือนสลายหายไปในพริบตา เมื่อเราได้เปลี่ยนที่ยืนจากมุมมองของลูก สู่มุมมองของแม่
.
ความหมายที่ถูกส่งมอบผ่านประสบการณ์ตรง
.
สิ่งนี้ไม่สามารถปรากฎผ่านความคิด แต่การแพ้ท้องที่ทำลายความสามารถในการควบคุมร่างกาย กลับเป็นไปเพื่อการเปิดเผยความหมายเพื่อให้เราได้ค้นพบประสบการณ์ทางจิตที่ยิ่งใหญ่ เพื่อจะเข้าใจสิ่งที่ไปพ้นคำบอกเล่าของผู้อื่น มอบสายตาใหม่ให้มองเข้าไปในโลกใบเดิมอีกครั้ง
ช่วงเวลาที่ได้กำซาบประสบการณ์ตรงที่ลึกซึ้ง ซึ่งเปิดเผยขึ้นอย่างฉับพลัน อาจเป็นสิ่งที่ธรรมชาติกำลังเตรียมเราให้พบกับสิ่งที่ควบคุมไม่ได้อีกมหาศาล หลังจากที่เราได้เป็นแม่คนจริงๆ…หลังจากที่เราคลอดลูก
ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่ลูก ได้คลอดแม่คนใหม่ออกมาด้วย