แคโรไลน์ โรส กิมเมียน เขียน
แปลโดย ทีมงานวัชรสิทธา
เชอเกียม ตรุงปะ มองอารมณ์ขันเป็นคุณสมบัติสำคัญที่ผู้ปฏิบัติควรมีในหนทางแห่งพุทธธรรม ท่านใช้เสียงหัวเราะเหมือนการใส่ยีสต์ลงในแป้ง ท่านใช้เสียงหัวเราะเป็นการเปลี่ยนสภาวะความคิดที่แสนเคร่งเครียดทางจิตวิญญาณของเราและตัวเราให้ผ่อนคลายขึ้น ในขณะเดียวกัน อารมณ์ขันของท่านทั้งติดดินและลื่นไหล มันมักทำให้ผู้ฟังหัวเราะจนท้องแข็งมากกว่าแค่ยิ้มคิกคัก และเป็นการแสดงออกถึงความเปิดกว้างและการสื่อสารตรงกับนักเรียนของท่าน
ครั้งแรกที่ฉันมีโอกาสอินเทอร์วิวกับท่านที่เมืองเบิร์กลีย์ รัฐแคลิฟอร์เนีย ในช่วงต้นทศวรรษ 1970 ท่านถามเกี่ยวกับพื้นเพครอบครัวของฉัน ฉันบอกท่านว่าพ่อของฉันเป็นคนอังกฤษและแม่เป็นคนโปรตุเกส ครั้งต่อมาที่เราได้พบกัน ท่านพูดอะไรบางอย่างเกี่ยวกับ “ห่าน” ซึ่งตอนแรกทำให้ฉันงุนงง กระทั่งฉันตระหนักว่าท่านกำลังหมายถึงเชื้อสายของฉัน ท่านล้อคำว่า “Portuguese” ว่าเป็น “Portu-geese” หรือ “โปรตุ-ห่าน” นั่นเอง ฉันรู้สึกประทับใจที่ท่านจำได้ หลังจากนั้นฉันก็รู้สึกผ่อนคลายมากขึ้นเมื่อต้องอยู่ใกล้ท่าน
รินโปเชรักการเล่นคำเป็นชีวิตจิตใจ โดยเฉพาะการเล่นคำในทางพุทธศาสนา บางช่วงในทศวรรษ 1970 ท่านชอบเล่นมุกเกี่ยวกับชื่อครูทิเบตที่มีชื่อเสียง เช่น ใครคือครูผู้เป็นเจ้าของปั๊มน้ำมัน? ก็ “เปโตรล รินโปเช” (Patrul Rinpoche) ไงเล่า (555) ท่านยังชอบเล่าเรื่องตลกนี้: “ชาวบ้านพูดว่าอะไรเมื่อเห็นหญิงแก้ผ้าขี่ยักเข้าหมู่บ้าน คำตอบคือ “ซัมยัก ซัม บอดี้” (Some yak, some body) ซึ่งเล่นคำกับ “สัมมาสัมพุทธะ” (samyaksambuddha) พุทธะผู้ตื่นรู้สมบูรณ์
รินโปเชยังชอบแกล้งคนด้วย มีอยู่ครั้งหนึ่ง ในระหว่างที่ท่านเกียลวา กรรมาปะที่สิบหก เดินทางมายังอเมริกา มีผู้ประสานงานรายหนึ่ง (ซึ่งมีหน้าที่รวมถึงในการอบรมระเบียบปฏิบัติอย่างเหมาะสมแก่ผู้เรียนในหลายศูนย์) เขาพลาดเตรียมอาหารเย็นให้องค์กรรมาปะ เขาจึงสั่งพิซซ่าไปส่งที่ที่พักของท่าน รินโปเชเห็นว่าการส่งอาหารฟาสต์ฟู้ดไปยังบ้านพักของผู้นำทางจิตวิญญาณนั้นไม่เหมาะสมเอาเสียเลย
สองปีหลังจากนั้นรินโปเชจึงให้คนส่งพิซซ่าไปหาชายคนนั้นในเวลาที่คาดไม่ถึงและชวนอึดอัดใจ และมักเป็นตอนที่เขากำลังประชุมกับคนอื่น ท่านไม่เคยเปิดเผยตัวว่าเป็นผู้ส่ง พิซซ่าทุกกล่องชายคนนั้นก็ต้องจ่ายเอง ท่านตรุงปะคิดว่านี่เป็นเรื่องที่ขบขันมาก แม้เรื่องตลกนั้นดูเหมือนถูกวางแผนอย่างยืดยาว แต่แท้จริงแล้วเกิดจากจังหวะแห่งปัญญาที่ผุดขึ้นในสถานการณ์ตรงหน้า อารมณ์ขันสำหรับท่านคืออีกหนึ่งวิธีหนึ่งในการถ่ายทอดปัญญา
ตรุงปะ รินโปเช เป็นผู้ริเริ่มประเพณีการฉลองวันที่หนึ่งเมษายน วันเมษาหน้าโง่ (April Fools’ Day) ด้วยมุกแบบแกล้งกันจริงภายในสังฆะเรา มีปีหนึ่งท่านขอให้ศิษย์ใกล้ชิดโทรศัพท์ไปหากรรมการบอร์ดบริหารคนหนึ่ง เพื่อประกาศข้อเรียกร้องที่เหลือเชื่อจนต้องตกตะลึง:”รินโปเชต้องการซื้อรถยนต์คันใหม่ ที่ทั้งหรูและแพงแบบปัจจุบันทันด่วน”และที่สำคัญต้องใช้เงินจำนวนหลายพันดอลลาร์โดยด่วน! (ฉันเองก็จำไม่ได้แน่ชัดว่ามุกตลกแรกสุดนั้นคืออะไร แต่น่าจะเป็นอะไรประมาณนี้แหละ) เมื่อข่าวนี้แพร่ออกไป บรรดากรรมการก็ต่างลุกลี้ลุกลนกันถ้วนหน้า บางคนเริ่มไม่พอใจและรู้สึกต่อต้านคำขอ บางคนก็ตื่นตระหนกพยายามเร่งหาเงินมาตอบสนองความต้องการอัน “ปัจจุบันทันด่วน” นี้ และแล้วในที่สุด เสียงเฉลยก็ดังขึ้นว่า “April Fools’!” หลังจากนั้น ผู้คนจำนวนมากก็เริ่มเข้าร่วมในจิตวิญญาณของวันนี้กันอย่างสนุกสนาน ในช่วงเวลานั้นของปี ใครที่ลืมวัน ลืมเวลา จะเสี่ยงต่อการถูกแกล้งอย่างไม่มีทางหนีพ้น บางคนอาจได้รับโทรศัพท์ หลังเที่ยงคืนเล็กน้อย ก่อนจะทันคิดได้ว่าเข้าสู่วันที่หนึ่งเมษายนแล้ว “ชวนไปประชุมด่วนในสถานที่ประหลาดๆ ที่ไม่มีอยู่จริง” หรือบางคนอาจได้รับข่าวร้ายเรื่อง วิกฤตการเงินอย่างฉับพลัน จนแทบอยากทึ้งผมตัวเองด้วยความตกใจ จนกระทั่งรู้ตัวว่า “วันนี้มันวันเมษาหน้าโง่นี่นา”
ในปี 1985 ตรุงปะ รินโปเชได้จัดมุกวันเมษาหน้าโง่ ที่สุดอลังการเกินคาด ในช่วงนั้น ท่านอยู่ในรีทรีทมาตลอดหนึ่ปีเต็ม ที่โนวาสโกชา และกำหนดจะเดินทางกลับเมืองโบลเดอร์ในช่วงต้นเดือนเมษายน ศิษย์ทั้งหลายต่างตั้งตารอการกลับมาของท่านด้วยความยินดีปนตื่นเต้น แต่แล้วในวันที่ 1 เมษายน หนึ่งวันก่อนกำหนดการเดินทางจริง ท่านพร้อมทีมงานได้ออกจากสถานที่รีทรีทนั้นอย่างเงียบเชียบ ทิ้งเจ้าหน้าที่ไว้เพียงคนเดียวเพื่อทำหน้าที่รับโทรศัพท์ และสร้างภาพให้ดูเหมือนว่าท่านยังคงอยู่ที่นั่น เมื่อความจริงเปิดเผยว่า ท่านออกไปก่อนกำหนดสิ่งที่ตามมาคือ ความสับสนอลหม่าน เพราะไม่มีใครหาตัวท่านพบ ท่านพร้อมสหายร่วมทางหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่มีใครรู้เลยว่าท่านอยู่ที่ไหน ผู้คนเริ่มออกตามหาทุกหนทุกแห่งในโนวาสโกชา บางคนส่งรถไปรอรับที่สนามบินต่างๆ ทั้งบอสตัน นิวยอร์ก เดนเวอร์ และเมืองอื่นๆ เผื่อว่าท่านจะเดินทางไปยังที่ใดที่หนึ่ง บางคนโทรหา ศูนย์ปฏิบัติธรรมสาขาต่างๆ หวังว่าจะมีเบาะแสปรากฏขึ้น ในขณะเดียวกัน ที่โบลเดอร์ ก็มีการเตรียมงานต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่ในห้องบูชา มีผู้คนเกือบพันคนคาดว่าจะเข้าร่วมในวันที่ 2 เมษายน ทุกคนเริ่มตั้งคำถามว่า เราควรยกเลิกพิธีนี้ไหม? หรือควรปล่อยให้ทุกอย่างเดินหน้าต่อไป? ท้ายที่สุด พวกเราก็ตัดสินใจรวมตัวกันตามกำหนด เพื่อดูว่า “จะเกิดอะไรขึ้น” พวกเรานั่งรอ และรอ เวลาผ่านไปอย่างน่าอึดอัด และแล้ว ในจังหวะที่เหมาะเจาะที่สุด ช้าเกินกว่าจะผ่อนคลายได้แต่เร็วพอจะยังทำให้ใจระทึก ท่านตรุงปะพร้อมคณะผู้ร่วมมุกก็ปรากฏตัวขึ้นที่ริมถนนหน้าสถานที่ เฉลยถูกเปิดเผยว่า ท่านเดินทางมาถึงเดนเวอร์ตั้งแต่วันก่อนแล้ว และ ซ่อนตัวอยู่ในโรงแรมภายใต้ชื่อปลอม สิ่งที่เกิดขึ้นทันทีคือ บางคนหัวเราะ บางคนตื่นตกใจ บางคนโมโห แต่ภายใต้ทั้งหมดนั้น มีความว่างอันไพศาลของหัวใจ (ใจแป้ว) มุขตลกครั้งนี้ไม่ใช่เพียงความนึกสนุก หากเป็นการสร้างสถานการณ์ให้ผู้คนได้เห็นชัดว่า ไม่มีสิ่งใดควรยึดถือว่าแน่นอน
และเมื่อมองย้อนกลับไป เมื่อรู้ว่า เชอเกียม ตรุงปะ รินโปเช ได้ละสังขารในอีกสองปีถัดมา แทบจะตรงกับวันนั้นพอดี เหตุการณ์เล่นมุกในปี 1985 นั้น ก็เหมือนเป็น การเตรียมใจอันแยบคาย สำหรับสิ่งที่กำลังจะมาถึง ศิษย์บางคนของท่านรวมทั้งตัวฉันด้วย รู้สึกว่า มันคงไม่ใช่ความบังเอิญล้วน ๆ ที่ท่านจากโลกนี้ไปในวันที่ 4 เมษายน 1987 ที่ใกล้วันเมษาหน้าโง่ (April Fools’ Day) อย่างยิ่ง ในแง่หนึ่ง มันอาจเป็นมุกสุดท้ายและยิ่งใหญ่ที่สุดที่ท่านเคย “เล่น” กับพวกเราทั้งหมด อารมณ์ขันของครูวัชรยานผู้นี้ บางครั้งก็ดูซุกซนเล่นสนุกเหมือนเด็ก แต่หาได้เป็นเรื่องไร้ความหมายไม่ เพราะมันพุ่งตรงสู่หัวใจของคำสอนของท่านว่าเราจะโอบรับชีวิตด้วยสัมผัสที่แผ่วเบาได้อย่างไร ว่าเราจะ “ทำให้ชีวิตและความตายเบาลงได้” โดยไม่ได้ make fun มันได้อย่างไร