“ชัมบาลา” วิถีแห่งนักรบ ที่กล้าเผชิญชีวิตของตน

บทความโดย คณพล
ภาพประกอบโดย Nakkusu

“คนที่สนใจในธรรมะ สนใจที่จะรู้จักตัวเอง และสนใจการปฏิบัติภาวนา โดยพื้นฐานแล้วคือนักรบ” – เชอเกียม ตรุงปะ

คำสอนชัมบาลาถูกกล่าวถึงในฐานะคำสอนที่เป็นได้ทั้ง pre-buddhist และ post-buddhist ในความหมายที่เป็นได้ทั้งทางเข้าก่อนเส้นทาง “หินยาน” และเป็นผลลัพธ์ของเส้นทาง “วัชรยาน” ในโลกทัศน์ไตรยานแบบทิเบต ที่ว่าเป็น pre คือการที่คำสอนชัมบาลาจะปูพื้นฐานมุมมองความเป็นมนุษย์ที่เปิดกว้างต่อการเรียนรู้ทางจิตวิญญาณ เช่นเรื่อง basic goodness ที่ชี้ให้เรามองเห็นถึงความดีพื้นฐานของสรรพสิ่ง การมีมุมมองที่เปิดกว้างและวางใจ เป็นจุดตั้งต้นที่มีประโยชน์อย่างมากต่อการเรียนรู้ยานลำดับถัดๆ ไป

ในแง่ของ post-buddhist หรือ หลังวัชรยาน คำสอนชัมบาลาคือความเข้าใจที่เกิดจากประสบการณ์ตรงของการฝึกฝนในไตรยาน ซึ่งสลัดภาษาและอัตลักษณ์ความเป็นพุทธศาสนาออกไป จนเหลือเพียงภาษาของประสบการณ์ที่ไม่ได้มีจุดอ้างอิงอยู่บนแนวคิดหรือหลักการใดๆ

คุณสมบัติพิเศษที่คำสอนเดียวกันสามารถเป็นทั้งมุมมองก่อนหินยานและผลลัพธ์ของวัชรยาน คือความแยบคายของเชอเกียม ตรุงปะ ที่สามารถสอดแทรกคำสอนขั้นสูงในฐานะการปูพื้นฐานบนเส้นทางจิตวิญญาณได้ ความแยบคายนี้ทำให้ชัมบาลาเป็นคำสอนที่เรียบง่าย ลึกซึ้ง และดึงดูดผู้คนที่ไม่ได้สนใจศาสนาให้มาสนใจในการก้าวเดินบนเส้นทางการฝึกตน ทั้งยังสะท้อนให้เห็นว่าการตื่นรู้นั้น ไม่ได้ยึดโยงอยู่บนหลักศาสนาใด แต่เป็นธรรมชาติที่มีอยู่แล้วในสรรพชีวิต

“สิ่งที่เรากำลังเรียนรู้คือการเป็นผู้ตื่น ผู้ที่ไม่กลัวที่จะอยู่กับปัจจุบันขณะแห่งชีวิต คำสอนชัมบาลาเป็นวิธีการพูดถึงประสบการณ์ของมนุษย์ที่ดูธรรมดาที่สุด แต่กลับพิเศษที่สุด ว่าเราจะ ‘ตื่น’ ได้อย่างไร จะใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ในทุกชั่วขณะได้อย่างไร” – วิจักขณ์ พานิช

และผู้ที่ตื่นอยู่กับชีวิต ก็คือนักรบ


นักรบชัมบาลา คือผู้ที่ไม่กลัวที่จะสัมพันธ์กับ space

คุณสมบัติที่เป็นหัวใจของนักรบก็คือ “ความไม่กลัว” หรือ fearlessness ซึ่งมาจากความเข้าใจหรือศรัทธาที่มีต่อความดีงามพื้นฐานของสรรพสิ่ง จึงไม่มีอะไรที่เราต้องหวาดหวั่นหรือหลีกเลี่ยง ความไม่กลัวของนักรบสะท้อนออกมาผ่านการดำรงอยู่อย่างสง่างามในพื้นที่ว่าง หรือ space

มีคำกล่าวที่ว่า “นักรบชัมบาลา ไม่กลัวการสัมพันธ์กับ space” การดำรงอยู่ในพื้นที่ว่างเป็นสิ่งที่น่าหวาดหวั่น เราไม่รู้ว่าจะมีอะไรปรากฏขึ้น ดับลง หรือไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย มันคือความไพศาลของทุกความเป็นไปได้ที่ไม่อาจควบคุม ซึ่งหากเราจะขัดเกลาตนเองให้เป็นนักรบ เราก็ต้องฝึกที่จะสัมพันธ์กับ space 

ในชัมบาลารีทรีทครั้งนี้ เราได้ฝึกที่จะสัมพันธ์กับ space ผ่านการมีประสบการณ์ตรงในเซสชั่นภาวนา โดยเริ่มจาก space ของลมหายใจเป็นลำดับแรก เราผ่อนคลายร่างกาย และค่อยๆ ตามลมหายใจที่พาเราเข้าไปสัมพันธ์กับพื้นที่ของร่างกายอย่างอ่อนโยน จากนั้น วิจักขณ์ก็นำภาวนาให้เราได้ลองสำรวจพื้นที่ปลายสุดของลมหายใจออก

“รู้สึกเหมือนการพาตัวเองไปยังจุดที่เราไม่เคยกล้าถลำไปเท่านี้มาก่อน สัมพันธ์กับพื้นที่ว่าง ณ ปลายสุดของลมหายใจออก กับความไร้หลัก ความเคว้ง ความไม่แน่ใจว่าเราจะมีลมหายใจถัดไปหรือเปล่า แล้วสังเกตประสบการณ์ที่เกิดขึ้น”

จากประสบการณ์ของ space ที่ลมหายใจ เราไปต่อกับการสัมพันธ์กับ space ในร่างกาย เราใช้ลมหายใจเป็นพาหนะในการพาเราไปเชื่อมต่อกับ space ตามจุดต่างๆ อย่าง ท้องน้อย ลิ้นปี่ และหัวใจ ให้ลมหายใจพาเราหยั่งลึกลงไปในประสบการณ์ของพื้นที่เหล่านั้น

ประสบการณ์ของการจูนเข้ากับ space ในร่างกาย ทำให้เรามองเห็นว่าชีวิตของเรามีท่าทีของการไม่ควบคุม ที่ดำรงอยู่แล้วเสมอ เป็นความเปิดกว้างของพื้นที่ว่างที่รองรับทุกประสบการณ์ เป็นเหมือนท้องฟ้าที่ไม่ปฏิเสธสิ่งใด ซึ่งเราสามารถฝึกที่จะพักอยู่ใน basic space นี้ได้

โดยอัตโนมัติ เมื่อเรามีประสบการณ์กับ space ในร่างกายของตัวเอง เราจะค้นพบว่าสิ่งแวดล้อมภายนอกร่างกายก็คือ space เช่นกัน ซึ่งหากเราไม่กลัวที่จะสัมพันธ์กับ space ภายใน เราก็จะสามารถเปิดตัวเองต่อพื้นที่อันไพศาลภายนอกได้ ความไม่กลัวนี้ คือคุณสมบัติพื้นฐานของนักรบที่จะใช้เพื่อก้าวเดินไปบนหนทางที่ตื่นอยู่กับชีวิต

ภูมิทัศน์ของ The Great Eastern Sun

การรู้จัก space และกล้าที่จะสัมพันธ์กับ space จะเปิดโหมดใหม่ของการมีประสบการณ์ชีวิต เราจะมองเห็นถึงความไม่จำเป็นที่ต้องไหลไปตามความคิด แรงกระตุ้น หรือกลยุทธ์ที่เราใช้จัดการสิ่งต่างๆ แต่เราสามารถที่จะ “อยู่ตรงนั้น” กับอะไรก็ตามที่เกิดขึ้นในชีวิตของเราได้

ความรู้สึกของการมีพื้นที่ให้กับประสบการณ์ทุกรูปแบบในชีวิต นำพาความวางใจบางอย่างให้เกิดขึ้นภายใน เรารู้สึกว่าเราอยู่ได้กับความยากหรือความทุกข์ในชีวิต โดยที่ไม่ได้รู้สึกว่าต้องเข้าไปจัดการกับมัน วิจักขณ์ชี้ว่ามันเป็นความรู้สึกของ “ความเหลือเฟือ” ที่เรามีให้กับตัวเอง การศิโรราบที่มีเซนส์ของความไม่กลัวเช่นนี้ เปิดโอกาสให้เราได้ลองอยู่กับความเป็นจริงในแต่ละชั่วขณะ ซึ่งในคำสอนชัมบาลากล่าวไว้ว่า หากเราสามารถดำรงอยู่กับสภาวะจิตใดๆ ก็ตามได้นานเพียงพอ เราจะได้ประสบกับรุ่งอรุณของ The Great Eastern Sun

บ่อยครั้งที่การหนีคือตัวเลือกเดียวที่เราเลือกมาเสมอ แต่เราก็มักจะพบกับความเป็นจริงของชีวิตที่ว่า แม้เราจะหนีจากสถานการณ์ได้มากแค่ไหน เราก็ต้องกลับมาเจอกับเรื่องราวแบบเดิมซ้ำๆ อยู่ดี และน่าแปลกที่เมื่อเราไม่หนี แต่พร้อมที่จะอยู่กับความกลัวทั้งหมดนั้น เรากลับค่อยๆ สัมผัสถึงประสบการณ์ที่อธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ยาก มันอาจเป็นความเปราะบาง ความปีตี หรือความรัก ที่เป็นพื้นให้กับสภาวะที่เรากำลังเผชิญอยู่ และทำให้สภาวะเหล่านั้นค่อยๆ คลี่ออก ราวกับแสงอาทิตย์ยามเช้าที่แผ่ซ่านไออุ่นไปทุกซอกทุกมุมของโลก

แต่การจะมองเห็นถึงแสงตะวันที่อาบไล้ความไพศาลของพื้นที่ว่าง เราจำเป็นต้องถอยออกมาจากมุมมองอันคับแคบของตัวตน และกล้าที่จะดำรงอยู่ในพื้นที่อันไร้หลักอย่างสง่าผ่าเผย เพื่อรอคอยด้วยใจที่เชื่อมั่นต่อธรรมชาติอันดีงามที่อยู่ในภายตัวเอง มันคือภูมิทัศน์แห่งความตื่นรู้ที่จะปรากฏขึ้นทุกครั้งเมื่อเราไม่ถอยหนีจากชีวิต ไม่ว่ายามสาย บ่าย หรือค่ำ เราสามารถกล่าว good morning! กับตัวเองได้เสมอ

ขึ้นขี่พลังม้าลม

ในชัมบาลารีทรีทครั้งนี้ เราได้ลงลึกกับคำสอนเรื่อง felt sense ซึ่งอาจอธิบายได้ว่าเป็นความรู้สึกถึง “บางสิ่ง บางอย่าง” ภายในร่างกาย เป็นความมวลๆ อวลๆ ที่ยังไม่ชัดเจน ไม่ตายตัว แต่รู้สึกและระบุได้ว่าอยู่บริเวณไหนของร่างกาย เป็นประสบการณ์ที่ละเอียดใน space ของร่างกาย

การมีความตระหนักรู้ถึงประสบการณ์ของ felt sense ก็คือการที่เราละเอียดอยู่กับ space ณ ปัจจุบันขณะ ทุกประสบการณ์ที่เกิดขึ้นล้วนถูกรับรู้โดยร่างกายของเรา อันที่จริง ร่างกายนั้นรับรู้สิ่งต่างๆ ได้ครอบคลุมยิ่งกว่าความคิดเสียอีก การฝึกที่จะอยู่กับ felt sense จึงจะเปิดประสบการณ์ชีวิตให้กว้างออกไปยิ่งขึ้นกว่าเดิม สู่พื้นที่ที่พ้นไปจากภาษาและคำอธิบาย

ในคำสอนชัมบาลา มีการกล่าวถึงคุณสมบัติอีกอย่างหนึ่งของ basic space ที่เป็นความสดใหม่ มีชีวิตชีวา เป็นคุณสมบัติที่ให้กำเนิดบางสิ่งบางอย่างอยู่ตลอด วิจักขณ์กล่าวว่า “สิ่งที่ space ให้กำเนิดก็คือพลังชีวิต หรือ awareness เราอาจจะเรียกคุณสมบัตินี้ด้วยคำที่แตกต่างกัน แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือประสบการณ์ตรงที่เรามีกับมัน ในชัมบาลาอาจเรียกคุณสมบัตินี้ว่า ดราละ หรือบางครั้งที่เรารู้สึกถึงคุณสมบัติที่โบยบินของ เราก็อาจเรียกมันว่า ม้าลม”

วิจักขณ์ ชวนเราให้สัมผัสกับประสบการณ์ของม้าลมผ่านการสัมพันธ์กับ basic space ด้วยร่างกาย จากจุดดินที่เชื่อมลงไปในความลึกเกินหยั่ง เราหายใจขึ้นมาพร้อมกับรับรู้ถึงความสดใหม่ที่ขึ้นมาตามลมหายใจนั้น มันเป็น felt sense ที่บ่งบอกถึงบางสิ่งที่มีชีวิตชีวา มีความวิบวับราวกับมีปีก ซึ่งเราสามารถประคองให้ม้าลมโผบินขึ้นมาตามช่องกลางกาย ซึ่งเป็นพื้นที่ตระหนักรู้ของเรา

มากไปกว่านั้น เรายังสามารถที่จะ “ขึ้นขี่” ม้าลมได้ เป็นจังหวะที่เรากระโจนขึ้นไปขี่พลังความสดใหม่ที่ไปพ้นความหวังและความกลัวอย่างฉับพลัน เป็นชั่วพริบตาของความไม่กลัว ที่พาเราก้าวข้ามความคิดและรูปแบบตัวตนเดิมๆ สู่ความสง่างามของการโบยบินอย่างอิสระกับม้าลมใน basic space

คำสอนเรื่องม้าลม ไม่ใช่ตำนานหรือสัญลักษณ์ทั่วๆ ไปของชาวทิเบต แต่เป็นประสบการณ์อันลึกซึ้งของการไปพ้นจากคำอธิบายต่อการตระหนักรู้ การขึ้นขี่ม้าลมไม่อาจทำได้ด้วยความคิด กลับกัน เราต้องปล่อยจากความคิดและการตัดสินทั้งหมด ซึ่งชั่วขณะที่เราไม่ตกอยู่ภายใต้อำนาจของความหวังและความกลัวนั้นเอง คือชั่วขณะแห่งการมีชีวิตอย่างเต็มเปี่ยม กับอะไรก็ตามที่ปรากฏขึ้นในประสบการณ์ของเรา – นี่แหละคือวิถีของนักรบชัมบาลา นักรบผู้ไม่กลัวตัวเอง

“เส้นทางของนักรบ คือเส้นทางที่ไม่ได้เขียนอยู่ในหนังสือเล่มไหน แต่เขียนอยู่ในหัวใจ ในจิตวิญญาณ และในการคลี่เผยของชีวิตเรา” วิจักขณ์ พานิช

สถาบันวัชรสิทธา ก่อตั้งขึ้นเพื่อเป็นพื้นที่ทดลองทางการศึกษา บนพื้นฐานของการภาวนา การใคร่ครวญด้วยใจ และการแลกเปลี่ยนประสบการณ์อย่างเป็นมนุษย์ระหว่างผู้เรียน