บทความโดย อันอัน วรวรรณ จุลละโพธิ
ภาพประกอบโดย Nakkusu
“We are defined not by what we get but by what we long for.”
– Reggie Rayเราถูกกำหนดจากสิ่งที่เราโหยหา ไม่ใช่สิ่งที่เราได้รับ — เรจจี้ เรย์
ในยามเช้าที่เราตื่น เราเคยรู้สึกถึงพลังของแรงปรารถนาข้างในตัวเรามั้ย ในโลกที่ทุกอย่างหมุนรอบตัวเรา ความปรารถนาที่จะครอบครองสิ่งใดนั้นอยู่ใกล้แค่ปลายนิ้วคลิก เรายังต้องโหยหาอะไรกันอีกเหรอ? แต่ความโหยหาที่มาจากโพรงโหวงๆ ข้างในตัวเรา ความโหยหาที่เอาอะไรมาปิดก็ไม่อยู่ มันอยู่กับเราตลอดเวลา ไม่ว่ายามหลับหรือยามตื่น ความโหยหาที่มาจากเสียงเพรียกของจิตวิญญาณ ร้องเรียก กวักมือ ให้เราสนใจสิ่งที่ที่ข้างในพยายามจะสื่อสารกับเรา แรงปรารถนาที่ไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยการสนองตัณหาหรือความอยาก แรงปรารถนาที่จะเชื่อมต่อกับบางสิ่งบางอย่างที่ใหญ่กว่าตัวเรา ความปรารถนาที่เป็นพลังอันนุ่มนวลที่ทำให้เราไปต่อทุกครั้งที่เราท้อ แรงปรารถนาที่ทำให้เราก้าวเข้าไปในดินแดนของความกลัว ในดินแดนของความไม่รู้ ไม่ใช่แรงกระเหี้ยนกระหือรือที่จะยึดเหนื่ยวสิ่งใดไว้ หรือเติมเต็มความโดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงา แรงปรารถนาอันไร้ตัวตน ไร้ที่มา ไร้เสียง แรงปรารถนาที่มาจากบ่อน้ำลึกสุดหยั่งถึงในตัวเรา
“Longing” ตามดิกชันนารี ถ้าแปลตรงตัว จะแปลว่า “ความปรารถนาอย่างแรงกล้า ความโหยหา ความอาลัย ซึ่งอาจจะไม่ใช่สิ่งที่เราได้หรือมี ณ ตอนนั้น”
ธรรมาจารย์เรจินัลด์ เรย์ หรือ “เรจจี้” อธิบายถึงความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่ไม่อาจต้านทานได้ที่มีอยู่ภายในตัวเรา เกิดจากความปรารถนาที่จะตระหนักและลิ้มรสประสบการณ์ชีวิตอย่างไม่ถอยหลังกลับ ความปรารถนาอันแรงกล้านี้ ไม่ได้มาจากความขาดพร่องของจิตใจ แต่เป็นธรรมชาติแห่งพุทธะพื้นฐานที่มีอยู่แล้วในตัวเรา เป็นแรงขับเคลื่อนในการฝึกฝนทางจิตวิญญาณ การภาวนาภายในที่จะพาเราไปยังความเข้าใจที่ลึกซึ้งในตัวเองและค้นพบที่ทางของเราในโลกใบนี้”
ความโหยหาต่ออะไรบางอย่างเป็นส่วนสำคัญของประสบการณ์ชีวิตของมนุษย์ เรามีความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะเห็นความยุติธรรม การเชื่อมต่อ ความรัก อิสรภาพ ภราดรภาพ คุณสมบัติเหล่านี้เผยให้เห็นเรื่องราวที่ซ่อนอยู่ในคนที่เราเป็น เราเป็นสิ่งมีชีวิตที่โหยหาถึงบ้านที่แท้จริงในโลกใบนี้ ที่ซึ่งเราเห็นแค่แสงเรืองรองของคุณสมบัติเหล่านี้แค่เพียงเศษเสี้ยว เราต่างก็คิดถึงบ้านมาตลอดชีวิต เราปรารถนาที่จะได้มีประสบการณ์อันเต็มเปี่ยมสมบูรณ์ จิตวิญญาณของเราโหยหาอาลัยประสบการณ์นี้มาตลอด ในร่างของมนุษย์ที่ไม่สมบูรณ์แบบบนโลก
แรงปรารถนาอันแรงกล้าที่ไม่ได้รับการเติมเต็ม ยังคงอยู่กับเรา และเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ของประสบการณ์มนุษย์ เฉกเช่น การหายใจเข้าออก สภาวะหมดแรงหลังจากวันอันยาวนาน หรือ น้ำตาแห่งความโศกเศร้า ความปรารถนาปลายเปิดที่หนทางแสวงหาไม่รู้จะไปสิ้นสุดที่ตรงไหน แต่เราก็ยินดีที่จะไปต่อ ไม่อาจรู้ได้ว่า ความปรารถนาจะหมดภายในชาตินี้หรือไม่ เราก็ไม่ได้สนใจมากไปกว่า พลังภายในแห่งความโหยหา การเปิดออกไปจากตัวตนเดิมๆ ของเรา การเปิดออกไปสู่เส้นทางที่เราไม่รู้จัก และไม่การันตีความสมหวังในปลายทาง แต่เราก็เดินออกไป เดินออกไป สักวันหนึ่ง ในยามเช้าที่น้ำค้างหยดหนึ่งหยดลงบนใบไม้ เราพบต้นทางของแรงปรารถนา ที่เป็นเหมือนบ่อน้ำในใจของเราที่เปิดกว้างออกไปสู่โลก
หากเราไม่มีการตระหนักรู้ถึงแรงปรารถนาเหล่านี้ในฐานะส่วนสำคัญของการเดินทางภายในของมนุษย์ เราอาจจะพยายามปกปิดมันหรือทำให้ความปรารถนานั้นหมดไปด้วยเหตุผลอันใดก็แล้วแต่ แต่ใครจะรู้ว่าความปรารถนาอันแรงกล้า เป็นเหมือนการได้กลับบ้าน หลังผ่านห้วงเวลาคิดถึงบ้านมายาวนาน กระทั่งได้กลับไปยังยานแม่ เพื่อที่จะบอกว่า “ฉันคิดถึงเธอนะ ฉันโหยหาเธอมาตลอด” ถ้าเราไม่ปฏิเสธหรือหลบเลี่ยงมัน เราก็อาจยังรู้สึกถึงการเชื่อมต่อกับต้นกำเนิดเดิมแท้ในหัวใจเราอยู่เสมอ
“ได้โปรดประทานพร เพื่อจิตของข้าจะรวมเป็นหนึ่งกับธรรมะ
ได้โปรดประทานพร เพื่อพุทธภาวะจะเติบโตบนหนทางของการตื่นรู้
ได้โปรดประทานพร เพื่อทุกย่างก้าวจะคลี่คลายความสับสนและความหวั่นกลัว
ได้โปรดประทานพร เพื่อทุกเมฆหมอกทื่มืดมัว จะถูกแทรกผ่านด้วยแสงทองของวัชรปัญญา”
— ธรรมทั้งสี่ของกัมโปปะ