เรจินัลด์ เรย์ : “ตรีกาย” – กายพุทธะในพุทธมหายาน

บทความโดย เรจินัลด์ เรย์
แปลและเรียบเรียงโดย ทีมงานวัชรสิทธา
ภาพประกอบโดย Nakkusu

“สามกายของพระพุทธเจ้า” อาจดูเหมือนทฤษฎีที่ห่างไกลจากชีวิตเรา ทว่า เรจินัลด์ เรย์ กล่าวว่า แท้จริงตรีกายปรากฏอยู่ในทุกขณะของประสบการณ์เราเอง

กล่าวกันว่าพระพุทธเจ้าถูกนิยามผ่าน “สามกายแห่งการตรัสรู้” หรือที่เรียกว่า ตรีกาย ตามแนวคิดมหายาน สามกายนี้ประกอบด้วย ธรรมกาย (dharmakaya): กายแห่งสัจธรรมสูงสุด, สัมโภคกาย (sambhogakaya): กายแห่งปีติหรือพลังงานแห่งการตื่นรู้, นิรมาณกาย (nirmanakaya): กายมนุษย์ที่ประกอบด้วยเลือดและเนื้อหนัง แนวคิดตรีกายนี้มักดูเป็นนามธรรมและห่างไกลจากชีวิตประจำวันและการปฏิบัติภาวนาของเรา ในบทความนี้ ผมอยากเสนอว่า แท้จริงแล้วตรีกายเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ที่ใกล้ชิดที่สุดของเรา และเป็นรากฐานของการดำรงอยู่ของเราในฐานะมนุษย์ ณ ขณะนี้

ตามคัมภีร์อภิธรรม มีสามฐานที่มนุษย์ทุกคนมีประสบการณ์ระหว่างการมีชีวิต

1. ฐานแห่ง “การดำรงอยู่” (existence)

คือประสบการณ์ที่เรารับรู้ว่าตนเองมีตัวตนที่มั่นคง ต่อเนื่อง อยู่บนโลกสมมติที่เราอยู่ร่วมกัน เรายืนยันฐานนี้ผ่านกิจกรรมทั้งกาย วาจา และใจ ที่ใช้กำหนด รักษา และเสริมสร้างความเป็น “ตัวฉัน” ที่เราคุ้นเคย ฐานนี้ตรงกับแนวคิดดั้งเดิมเกี่ยวกับชีวิตมนุษย์ และคือสิ่งที่คนส่วนใหญ่มองว่าเป็นแก่นแท้แห่งอัตลักษณ์ของตน

2. ฐานแห่ง “ความตาย/การเกิดใหม่”

คือช่วงเวลาที่เราไม่สามารถรักษาอัตลักษณ์ที่คิดว่าเป็น “ฉัน” ได้อีกต่อไป เรารู้สึกเปราะบาง โงนเงน ทั้งกายและใจเหมือนกำลังสลาย ราวกับเรากำลังแตกสลายไปจริงๆ ท่ามกลางความหวาดกลัวนี้ เราอาจรู้สึกเหมือนกำลังจะตาย เราเรียกฐานนี้ว่า “ความตาย/การเกิด” เพราะไม่ว่าการสลายและความตายที่เราประสบจะเป็นทางจิตใจ สังคม หรือร่างกายก็ตาม มันย่อมเป็นการเกิดใหม่ในอัตลักษณ์หรือภาวะแห่งการดำรงอยู่รูปแบบอื่นในเวลาเดียวกัน

3. ฐานแห่ง “สุญญตา” หรือ “ฐานที่ไร้ฐาน” (groundless ground)

ที่นี่ บางครั้งอย่างกะทันหัน เราเผชิญหน้ากับความไม่มีตัวตน เมื่อมองหาความมั่นคงน่าปรารถนาของ “การดำรงอยู่” ที่คุ้นเคย และแม้แต่ฐาน “ความตาย/การเกิด” ที่มักไม่น่าปรารถนา เรากลับไม่พบอะไรเลย เราพบเพียงพื้นที่ว่างที่เปิดโล่ง ชัดใส และว่างเปล่า ผู้คนเล่าว่าพบฐานชนิดที่สามนี้ท่ามกลางอุบัติเหตุร้ายแรง ขณะที่ถูกทำให้อับอายกะทันหัน ระหว่างร่วมรัก หรือเมื่อถูกโถมทับด้วยข่าวร้าย ความโศกเศร้าล้นพ้น หรือความงามอันน่าตื่นตะลึง

ฐานทั้งสามนี้ แท้จริงแล้วไม่ใช่อะไรอื่นนอกจาก สามกายแห่งการตรัสรู้ ที่ปรากฏในประสบการณ์ของเราเอง ความมั่นคงต่อเนื่องของ “การดำรงอยู่” คือ นิรมาณกาย ที่ปฏิบัติการอย่างเป็นประโยชน์ ความเปลี่ยนแปลงและแปรปรวนไม่หยุดยั้งของ “ความตาย/การเกิด” คือ สัมโภคกาย ความเปิดโล่งไร้ขอบเขตของ “สุญญตา” คือ ธรรมกาย ที่ไม่อาจแปรผันได้

แล้วทำไมตรีกายถึงปรากฏในเรา?

บางคนอาจถามว่า “สามกายนี้จะปรากฏในประสบการณ์ของเราผู้ยังสับสน ว่ายวน ไม่ตรัสรู้ได้อย่างไร?”

พุทธศาสนาสอนว่าภายในเราทุกคนมี พุทธภาวะ —สภาวะตรัสรู้อันบริสุทธิ์เลิศล้ำที่พระพุทธเจ้าทรงเป็นตัวอย่างที่สมบูรณ์ พุทธภาวะนี้คืออะไร? ก็ไม่มีอะไรอื่นนอกจากสามกายแห่งพุทธะที่สมบูรณ์อย่างเต็มที่นั่นเอง กล่าวอีกอย่างคือ พุทธศาสนายืนยันว่าสามกายในรูปแบบบริสุทธิ์ สมบูรณ์ และเชื่อมโยงเอื้ออิงอาศัยนั้นมีอยู่ในเรา ณ ขณะนี้เอง

ทว่าชัดเจนว่า เรามิได้ประสบสามกายในรูปที่สมบูรณ์ที่สุด แต่เมื่อสามกายเกิดขึ้นเป็นฉากหลังของทุกขณะในชีวิต เรากลับรีบซ้อนทับและบดบังมันด้วยความเคยชินอันบิดเบือนของอัตตา

ความพยายามสร้าง “อัตตา” จากสามกาย

แต่ละคน ตามแบบแผนกรรมเฉพาะของตน มักจะโฟกัสที่กายใดกายหนึ่งและพยายามสร้าง “ฐานที่มั่นคงสำหรับอัตตา(สังสารวัฏ)” จากกายนั้น

สำหรับคนส่วนใหญ่ นิรมาณกายในรูป “การดำรงอยู่” คือฐานที่พึงปรารถนามากที่สุด ส่วน “ความตาย/การเกิด” และ “สุญญตา” เป็นฐานที่ไม่น่าปรารถนา หรือกระทั่งน่าหวั่นกลัวอย่างยิ่ง

แต่สำหรับบางคน—มักเป็นผู้ปฏิบัติธรรม—ฐานที่ปรารถนากลับเป็น “สุญญตา” พวกเขารู้สึกสบายใจที่สุดในพื้นที่ว่าง และไม่ค่อยอยากยอมรับ “การดำรงอยู่” หรือ “ความตาย/การเกิด” ในฐานะรูปแบบการดำรงอยู่ที่ชอบธรรม

ความล้มเหลวของการสร้างอัตตาจากตรีกาย

เราสามารถเห็นจากประสบการณ์ตนเองว่าความพยายามสร้างอัตตาจากกายทั้งสามนี้ล้วนเต็มไปด้วยปัญหาและความขัดแย้ง

การสร้างอัตตาจาก นิรมาณกาย หรือ “การดำรงอยู่” เป็นสิ่งเข้าใจง่ายที่สุด เราพยายามหาความถาวรมั่นคง แต่กลับปฏิเสธความไม่เที่ยงและความว่างที่อยู่เบื้องหลังทุกปรากฏการณ์ ผลคือเรายึดติดอยู่ในอัตลักษณ์ที่แม้จะสดใหม่สร้างสรรค์ในตอนแรก แต่ก็ล้าสมัย อึดอัด และเป็นอันตราย เมื่อเหตุปัจจัยที่สร้างมันขึ้นมาเปลี่ยนแปลงไป

ความพยายามสร้างอัตตาจาก สัมโภคกาย หรือ “ความตาย/การเกิด” ก็มีปัญหาไม่ต่างกัน เรากลายเป็นกบฏถาวร ไม่ไว้ใจความต่อเนื่องมั่นคงใด ๆ ซึ่งย้อนแย้งตรงที่ เรากลับสร้างอัตตาที่ตายตัวที่สุดขึ้นมา—นั่นคืออัตตาที่ต่อต้านทุกสิ่งที่ถูกสร้างขึ้น ไม่ว่าจะโดยเราเองหรือคนอื่น

ความพยายามสร้างอัตตาจาก ธรรมกาย หรือ “สุญญตา” ก็ผิดพลาด เมื่อเราพยายามพำนักอยู่ในความว่าง โดยไม่ยอมให้ชีวิตที่มีเงื่อนไขได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม เรากำลังเพิกเฉยต่อกรรมที่เรียกร้องให้เราเผชิญหน้า และสิ่งนั้นจะย้อนกลับมาเป็นสถานการณ์ลบที่ปั่นป่วนชีวิตและเส้นทางธรรมของเราในที่สุด

สามกายที่ไม่อาจเป็นอัตตาได้

เราไม่สามารถสร้างอัตตาที่มั่นคงจากตรีกายได้ เพราะโดยธรรมชาติของมัน—ซึ่งก็คือธรรมชาติของเราเอง—เป็นเช่นนั้น

ธรรมกาย คือพื้นที่แห่งความตระหนักรู้ ที่ไร้ขอบเขตและแผ่ซ่านอยู่ทั่วไป ไม่เคยมีที่ให้แนวคิดเรื่องอัตตาฝังรากได้ แม้กระทั่งอัตตาที่ถูกนิยามว่าเป็น “สุญญตา”

สัมโภคกาย ปรากฏเป็นพลังงานที่เคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงไม่หยุด ซึ่งละลายทุกความรู้สึกว่า “ฉัน” แม้แต่ความพยายามจะสร้างอัตตาจากกระบวนการเปลี่ยนแปลงเอง

นิรมาณกาย มีลักษณะปฏิบัติการเพื่อตอบสนองต่อผู้อื่น ซึ่งมักใหม่ ไม่คาดฝัน นอกเหนือจากแผนการ และอยู่นอกเหนือการควบคุม—จึงไม่ใช่ฐานให้สร้างอัตตาได้เลย

ตรีกายที่ไม่อาจแยกจากกัน

ยิ่งไปกว่านั้น ตรีกายถูกกล่าวว่า ไม่อาจแยกจากกันได้ในที่สุด เมื่อเราพำนักในธรรมชาติแท้ของเราเองอย่างบริสุทธิ์ (พุทธภาวะ) เราจะพบว่าประสบการณ์ของเรารวมความว่างของธรรมกาย ความไม่เที่ยงของสัมโภคกาย และความปฏิบัติการของนิรมาณกายไว้ในคราวเดียว

ธรรมกายถูกกล่าวว่าเป็น “เพื่อเราเอง” เพราะเป็นหัวใจของการหลุดพ้น ส่วนสัมโภคกายและนิรมาณกายถูกกล่าวว่าเป็น “เพื่อผู้อื่น” เพราะเป็นความกรุณาและการช่วยเหลือในทางปฏิบัติ แต่กายทั้งสาม แม้ดูแตกต่าง ก็แฝงอยู่ในกันและกันไม่อาจแยกออก

ธรรมกายบรรจุเมล็ดพันธุ์ของอีกสองกาย และเมื่อพบความทุกข์ของสรรพสัตว์ ก็ให้กำเนิดกายทั้งสองอย่างเป็นธรรมชาติ เช่น เมื่อเราพำนักใจเต็มที่ในความว่างของธรรมกาย แล้วพบผู้อื่นในความเจ็บปวด ความปรารถนาที่จะช่วยเหลือ (สัมโภคกาย) และการกระทำที่เป็นรูปธรรม (นิรมาณกาย) ก็เกิดขึ้นเองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ในทำนองเดียวกัน สัมโภคกายและนิรมาณกายก็บ่งบอกถึงธรรมกาย และทำงานได้อย่างเหมาะสมก็เมื่อโปร่งใสต่อความว่างของธรรมกายเท่านั้น เพราะเมื่อพลังงานของสัมโภคกายและการปฏิบัติของนิรมาณกายถูกมองว่าไร้แก่นสารแท้ การช่วยเหลือผู้อื่นก็จะเปิดกว้าง ยืดหยุ่น และเหมาะสมกับความต้องการของสรรพสัตว์อย่างแท้จริง

การตระหนักรู้ว่าเราที่แท้จริงคือตรีกาย

ภาพพระพุทธเจ้าที่วาดหรือปั้นอย่างคลาสสิกมักแสดงพระองค์ประทับนั่งเอามือขวาแตะพื้น เรียกผืนดินมาเป็นประจักษ์พยานต่อการตรัสรู้ แล้วการตรัสรู้นั้นคืออะไร? คือการตระหนักรู้ว่า ธรรมชาติสูงสุดของเราเองไม่มีอะไรอื่นนอกจากตรีกายแห่งพุทธะ นั่นเป็นการตระหนักว่าไม่มีหรือเคยมี “ฐานที่มั่นสำหรับอัตตา” อยู่จริงแต่อย่างใดเลย

สถาบันวัชรสิทธา ก่อตั้งขึ้นเพื่อเป็นพื้นที่ทดลองทางการศึกษา บนพื้นฐานของการภาวนา การใคร่ครวญด้วยใจ และการแลกเปลี่ยนประสบการณ์อย่างเป็นมนุษย์ระหว่างผู้เรียน