บทความ โดย ดิเรก ชัยชนะ
The old pond, ah! อา, สระน้ำเก่าแก่!
A frog jump in: กบกระโจนลงไปในน้ำ
The water’s sound! แล้วได้ยิน เสียงน้ำ!
ไฮกุ (haiku) อันลือลั่นของบาโซ (1643-94) ผู้ศรัทธาต่อนิกายเซน ทว่ามิใช่ภิกษุเซน กล่าวกันว่า ไฮกุบทนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิวัติไฮกุสมัยใหม่ในประเทศญี่ปุ่น
“ไฮกุ” เป็นกวีที่สั้นที่สุด มีเพียง 17 พยางค์ หรือบทกวีสามบรรทัด แต่ละบรรทัดคือ ห้า เจ็ด ห้าพยางค์ ไฮกุก่อนสมัยบาโชเป็นเพียงการเล่นคำหรือตีฝีปากเท่านั้น โดยไม่มีความเกี่ยวข้องกับชีวิตใดๆ เลย
ครั้งหนึ่งเมื่อบาโชถูกอาจารย์เซนถามถึงเรื่องความจริงแห่งอติมะของสิ่งทั้งหลาย บังเอิญว่าท่านมองเห็นกบกระโดดไปในสระเก่าๆ เสียงที่มันกระโดดลงไปในน้ำได้ทำลายความสงบของสถานการณ์ลงทันที บทกวีไฮกุที่ท่านตอบอาจารย์เซนไปนั้น จึงเป็นการเริ่มต้นขบวนการปฏิวัติบทกวีของท่าน ไฮกุที่สะท้อนจิตของกวีผู้เฝ้าดูอารมณ์ของจิตทุกๆ ขณะ …นี่คือการนำเซนเข้ามาเกี่ยวข้องกับไฮกุ
เซนกับไฮกุ
ปรัชญาเซน จริงๆ แล้วก็คือปรัชญาพุทธมหายานทั่วๆ ไป แต่เซนมีวิธีการรู้แจ้งปรัชญานั้นอันเป็นเอกลักษณ์ของมันเอง ที่มาจากการเห็นความลึกลับของสภาวะของตนเองโดยตรง หรือเห็นความจริงแท้นั่นเอง
เซนไม่ให้เรายึดถือคำสอนที่ใครพูดหรือเขียนไว้ ไม่เชื่อในสภาวะอื่นนอกจากการตื่นรู้ผ่านประสบการณ์ตรงภายในตนเอง เป็นความจริงแท้ที่ข้ามพ้นถ้อยคำหรือมโนทัศน์ทั้งหมด การตื่นรู้นี้ เซนเรียกว่า “ซาโตริ (satori)”
ดีที ซุซุกิ [1] อาจารย์ผู้สื่อสารเซนสู่โลกตะวันตกได้อธิบายว่า ไฮกุที่แต่งขึ้นโดยปราศจากสำนึกของตัวตนนั้นก็ไม่ต่างจากการแสดงความรู้แจ้งอย่างผู้ฝึกเซน แต่เป็น “ซาโตริแบบศิลปะ (the artistic satori)” ที่ตื่นรู้เพียงบางแง่มุมชีวิตของศิลปิน ในขณะที่ ซาโตริของผู้ฝึกเซนครอบคลุมสภาวะทั้งหมดของเขา
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าเซนจะมีส่วนสัมพันธ์กับไฮกุ แต่ก็ไม่อาจนำไฮกุกับเซนมาปนเปกันได้ ไฮกุมีพื้นที่ของมันเอง นั่นคือเป็นบทกวีที่ประพิมประพายไปด้วยความใกล้ชิดธรรมชาติ ความเปลี่ยนแปลง ความไม่แน่นอน ความสันโดษ ความลึกลับ หรือธรรมชาติของสิ่งต่างๆ ตามที่มันเป็นในชั่วขณะหนึ่งโดยปราศจากการบิดเบือนทางความคิด
เชอเกียม ตรุงปะ กับ ไฮกุ
เชอเกียม ตรุงปะ รินโปเช [2] ธรรมาจารย์ชาวทิเบตผู้มีอิทธิพลอย่างสูงต่อการวางรากฐานของพุทธธรรมในโลกตะวันตก ได้ศึกษาการเขียนบทกวีแบบญี่ปุ่นในช่วงที่พำนักอยู่ในประเทศอินเดีย ท่านชื่นชอบไฮกุเป็นพิเศษ และมักกระตุ้นให้ลูกศิษย์ของท่านแต่งกวีไฮกุเสมอๆโดยเฉพาะหลังการเรียนจัดดอกไม้อิเคบานะ
ตรุงปะมองว่า ไฮกุเป็นการนำแก่นของพุทธธรรมมาแสดงในรูปของบทกวีอย่างฉับพลัน “มันคือโจทย์ที่คุณจะเขียนภาวะจิตของตนลงบนกระดาษ คุณจะเห็นสภาวะจิตของตนเองผ่านบทกวี ไฮกุคือการเขียนจิตตัวเอง” กล่าวคือไฮกุเป็นการแสดงออกถึงสภาวะจิตที่ละเอียดเบาบางอยู่เหนือสภาวะอารมณ์ อย่างไรก็ตาม การทำเช่นนี้คุณต้องเปิดจิตให้เข้าถึงความว่าง ซึ่งเป็นอุดมคติในทางมหายาน บทกวีไฮกุของตรุงปะจึงแสดงถึงวิถีทางในการดำรงอยู่กับประสบการณ์ในชั่วขณะหนึ่งอันไร้เงื่อนไข ดังเช่น
“ พ่อแม่เขาจิบชา
กับเพื่อนหญิงคนใหม่ของเขา
ราวนายพลตรวจกอง ”
ไฮกุกับการรับรู้ตามความเป็นจริงในชีวิตประจำวัน
ด้วยความสัมพันธ์ของไฮกุกับวิถีชีวิต บทกวีสามบรรทัดนี้ได้เปิดประตูแห่งประสบการณ์ใหม่ของการบรรสานการสร้างสรรค์กับการภาวนาให้กับกวี ศิลปิน และผู้รักบทกวี อย่างไรก็ตาม คำถามที่ตามมาคือไฮกุจะมาเป็นส่วนหนึ่งของการแสดงการรับรู้และการชื่นชมสิ่งธรรมชาติตามความเป็นจริงในชีวิตประจำวันได้อย่างไร
ขลุ่ยไม้ไผ่หนังสือของรวมไฮกุของ พจนา จันทรสันติ [3] ผู้ได้แรงบันดาลใจจากบทกวีไฮกุแบบญี่ปุ่น ได้เขียนอธิบายว่า บทกวีไฮกุเป็นบทกวีที่ไหลออกมาจากใจอย่างตรงไปตรงมา เรียบง่าย สั้นๆ โดยไม่ผ่านการตกแต่งทางภาษา ไม่ใช่สิ่งที่เกิดจากการนั่งนึกฝันเอาเอง เพียงอาศัยข้อความสั้นๆไม่กี่ประโยคคลี่คลายความรู้สึกภายในออกมาและให้จบสิ้นอย่างสมบูรณ์อยู่ในนั้น
เช่นเดียวกับ นพ.วิธาน ฐานะวุฑฒ์ [4] ผู้ตกหลุมรักไฮกุและมีผลงานบทกวีไฮกุถึงสองเล่มได้กล่าวถึงการเขียนไฮกุว่า ไฮกุ คือการบรรยายสิ่งที่อยู่ตรงหน้าว่าเราเห็น รับรู้ และรู้สึกอย่างไร โดยการเขียนแสดงการดำรงอยู่ตามความเป็นจริงของสภาวะ
อย่างไรก็ตาม Yoel Hoffmann [5] อธิบายถึงการเขียนไฮกุแตกต่างออกไป เขากล่าวว่า ไฮกุคือความพยายามที่จะ “พูดอะไรโดยไม่พูด” เป็นเหมือนหมึกสองสามบรรทัดในภาพทิวทัศน์ของญี่ปุ่นและจีนที่เน้นความกว้างใหญ่ของฉาก
หลักการและคุณลักษณะของไฮกุ
คุณลักษณะไฮกุประกอบด้วย
(1) การอธิบายสถานะหรือเหตุการณ์เดียว
(2) เวลาที่เป็นปัจจุบัน และ
(3) เชื่อมโยงกับภาพหนึ่งในสี่ฤดูกาลของญี่ปุ่น
ในเวิร์คช็อปการเขียนไฮกุของ sacred mountain festival ปี 2020 วิทยากร อ.อนุสรณ์ ติปยานนท์ อธิบายว่า ไฮกุคือการสรุปความคิดที่เราอยากเล่ามากมายลงในสิบเจ็ดพยางค์หรือสามบรรทัด วิธีการเขียนไฮกุเริ่มต้นด้วยการเขียนความเรียงอย่างอิสระหนึ่งหน้ากระดาษหรือเท่าที่เขียนได้เพื่อบรรยาถึงสิ่งที่อยากจะเล่าในขณะนั้น แล้วค่อยกลั่นลงมาให้เหลือเพียงสิบเจ็ดพยางค์สามบรรทัด ห้า เจ็ด ห้า เป็นบทกวีไฮกุ
เชอเกียม ตรุงปะ เสนอการเขียนไฮกุของท่านไว้ว่ามีหลักสามประการ คือ เริ่มต้นจากความคิดในแวบแรก ซึ่งจะเป็นแนวทางของกวีนั้นทั้งหมด บรรทัดที่สองเป็นความต่อเนื่องจากบรรทัดแรก และบรรทัดสุดท้ายเป็นความเคลื่อนไหวส่งท้ายที่ย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นของบทกวี
แนวการเขียนของ เชอเกียม ตรุงปะ ผู้เขียนมองว่าสอดคล้องกับหลักฟ้า (heaven) ดิน (earth) และมนุษย์ (human) ในการจัดดอกไม้อิเคบานะตามมุมมองธรรมศิลป์ที่ตรุงปะเสนอไว้ กล่าวคือ บรรทัดแรกของไฮกุเป็นความคิดแวบแรกคือหลักการของฟ้า ที่แสดงถึงความเปิดกว้าง และอิสรภาพอันไร้เงื่อนไขที่ดำรงอยู่เสมอ ในการจัดดอกไม้อิเคบานะนั่นคือกิ่งแรกที่ปักลงแจกันซึ่งแสดงถึงโทนการจัดดอกไม้ทั้งหมด บรรทัดที่สองคือหลักการของดิน ซึ่งในอิเคบานะคือกิ่งที่สองที่ปักลงแจกันรองรับและเกื้อหนุนการดำรงอยู่ของฟ้า และบรรทัดสุดท้ายคือหลักการมนุษย์ ที่เชื่อมโยงระหว่างฟ้าและดิน โดยในอิเคบานะมนุษย์คือความรื่นรมย์หรือดอกไม้ที่จะเชื่อมโยงกิ่งแรกและกิ่งสองเข้าด้วยกัน
ด้วยหลักการนี้ หมายความว่าอิสรภาพจากจุดอ้างอิงและแบบแผนความคิดของนักกวีก่อนการแต่งบทกวีเป็นหัวใจสำคัญ ในการสื่อสารและชื่นชมสิ่งต่างๆตามความเป็นจริงได้อย่างอิสระ เมื่อเป็นเช่นนี้ สิ่งธรรมชาติและสถานกาณ์ตรงหน้าย่อมสดใหม่เสมอสำหรับการเขียนบทกวีไฮกุชื่นชมสิ่งตางๆอย่างที่มันเป็น
สาวชุดกิโมโน
ณ ทางเข้าสุขาวดี
หนึ่งย่อหนึ่งยืนยิ้ม
8 พฤศจิกายน 2560
ทางเข้าวัดอิคันโด (วัดนิกายสุขาวดี) เมืองเกียวโต ญี่ปุ่น
อ้างอิง
[1] Daisetz, T. Suzuki. (1993). Zen and Japanese Culture. 11th ed. USA. Mythos. Page 226-244
[2] ฟาบริซ มิดัล (2552). ชีวิตและญาณทัสนะของตรุงปะ คุรุบ้าผู้ปรีชาญาณ. กรุงเทพ. สวนเงินมีมา. หน้า 372
[3] พจนา จันทรสันติ (2559) ขลุ่ยไม่ไผ่. กรุงเทพ. โอเพนบุ๊ค
[4] วิธาน ฐานะวุฑฒ์ (2554). Love at first write (ing). กรุงเทพ. ศยาม
[5] Yoel Hoffmann. (1986). Japanese Death Poems. Tokyo. TUTTLE. Page 24.