บทสัมภาษณ์คาเรน คิสเซล เวเกลา (Karen Kissel Wegela, Ph.D., LP) ศาสตราจารย์และผู้ก่อตั้งภาควิชา Contemplative Psychotherapy มหาวิทยาลัยนาโรปะ
สัมภาษณ์และเรียบเรียงโดย ธัญญา ศรีธัญญา

Contemplative Psychotherapy คือการพบกันระหว่างจิตวิทยาตะวันตกกับพุทธธรรม ที่ให้มิติของการอธิบายธรรมชาติของจิตและการภาวนา อาจกล่าวได้ว่าเป็นจิตบำบัดที่มีฐานของการใคร่ครวญภายใน ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่พุทธศาสนาเดินทางไปยังโลกตะวันตกช่วงปี 1960s – 1970s การลงรากของพุทธธรรมในช่วงเวลานั้นได้ให้กำเนิดปรากฏการณ์มากมายจากการที่ปัญญาของพุทธศาสนาหลอมรวมเข้ากับวิชาการแห่งโลกตะวันตก จิตวิทยา-พุทธธรรมก็ถือเป็นหนึ่งในกระแสสำคัญในยุคสมัยนั้น
วันนี้เราได้มีโอกาสพูดคุยกับ คาเรน คิสเซล เวเกลา อาจารย์ประจำภาควิชา Buddhism-Informed Contemplative Counseling หลักสูตรปริญญาโทจิตวิทยาด้านการปรึกษา มหาวิทยาลัยนาโรปะ ผู้ที่เป็นหนึ่งในอาจารย์รุ่นก่อตั้งย้อนไปราว 50 ปีก่อน

Contemplative Psychotherapy มีต้นกำเนิดที่มหาวิทยาลัยนาโรปะ เริ่มต้นจาก เชอเกียม ตรุงปะ รินโปเช ธรรมจารย์ชาวธิเบตเดินทางมาสอนธรรมะในโลกตะวันตก ลูกศิษย์หลายคนของตรุงปะเป็นนักจิตบำบัดหรือทำงานด้านจิตวิทยาอยู่แล้ว พวกเขาพบว่าคำสอนพุทธศาสนาที่ตรุงปะนำมายังโลกตะวันตกเต็มไปด้วยภาษาจิตวิทยา เมื่อตรุงปะเริ่มก่อตั้งสถาบันนาโรปะ จึงได้มีการพัฒนาหลักสูตรที่ผสานทั้งสองศาสตร์นี้เข้าด้วยกัน โปรแกรม 3 เดือนครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อปี 1976 ในชื่อว่า Buddhist in Western Psychology (ความเป็นพุทธในจิตวิทยาตะวันตก) ประกอบไปด้วยห้องเรียน 2 เดือน และรีทรีต 1 เดือน (ดาทุน)
หลักสูตรนี้เติบโตตามสถาบันมาเรื่อยๆ จนนาโรปะกลายเป็นมหาวิทยาลัยที่เรียนเต็มปีการศึกษา จึงได้เปลี่ยนชื่อเป็น Contemplative Psychotherapy และกลายมาเป็นหลักสูตรปริญญาโท 3 ปี ที่มีความพิเศษคือ มีรีทรีตสองสัปดาห์ในทุกเทอมตลอดหลักสูตร ด้วยยังคงรักษาแก่นของการเรียนและการฝึกปฏิบัติภาวนาไว้จากจุดเริ่มต้น
คาเรนเล่าว่า ในยุคแรกที่เริ่มมีการทำงานจิตบำบัดที่มีฐานของการใคร่ครวญภายใน เป็นกระแสที่แตกต่างอย่างมากในวงการจิตบำบัดในยุคนั้น เมื่อเวลาผ่านไป พื้นฐานการฝึกสติและมุมมองจิตวิทยาแบบองค์รวมจึงเป็นที่นิยมมากขึ้นโดยเฉพาะในฝั่งตะวันตก “ตอนนี้เราเหมือนจะเป็นกระแสหลักแล้ว” คาเรนเสริมขำๆ
Contemplative Psychotherapy : จิตบำบัดที่มีฐานของการใคร่ครวญภายใน
หากใครได้เคยเข้าชั้นเรียนที่วัชรสิทธา หรือได้เข้าเวิร์คช้อปที่มีมิติการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ คงพอนึกออกถึง “การศึกษาที่มีฐานของการใคร่ครวญภายใน” (Contemplative education) การเรียนรู้ที่ไปพ้นจากเพียงระดับความคิด แต่ลงมายังร่างกาย ความรู้สึก อารมณ์ และญาณทัสนะ (intuition) ผ่านการภาวนา จิตบำบัดที่มีฐานการใคร่ครวญภายในก็มีรากฐานในเชิงประสบการณ์เช่นเดียวกัน
“ความเข้าใจพื้นฐานที่สุดคือ การให้คำปรึกษาหรือกระบวนการจิตบำบัดแก่ทุกคน ทุกสภาวะจิต ตั้งแต่ระดับเบาไปจนถึงขั้นสุด ด้วยกระบวนการที่หล่อหลอมมาจากคำสอนพุทธว่าด้วยธรรมชาติของจิต”
คาเรนเล่าว่า แรงบันดาลใจตั้งต้นที่สุดของศาสตร์นี้เริ่มต้นจากปณิธานโพธิสัตว์ในคำสอนมหายาน ในการเป็นประโยชน์แก่สรรพชีวิต เมื่อมาเจอกับโลกตะวันตกที่มีศาสตร์จิตบำบัดที่สามารถยังประโยชน์แก่ผู้คนได้อยู่ก่อนแล้ว จึงเกิดแนวคิด Contemplative Psychotherapy ซึ่งสอดคล้องกับอุปายวิธีของวิถีโพธิสัตว์
ในทางฝั่งวิทยาการตะวันตก จิตวิทยามีประโยชน์ในเชิงการทำงานกับผู้คน ด้วยความรู้และเครื่องมือต่างๆ ที่ทำให้เราสามารถตรวจสอบตัวเองได้ว่า เราทำอะไรอยู่ สิ่งที่ทำอยู่นั้นเป็นประโยชน์หรือกำลังเป็นโทษ
และนี่คือการบรรจบกันของพุทธศาสนากับจิตบำบัด ศาสตร์ Contemplative psychotherapy ที่มีกลิ่นอายที่แตกต่างออกไปจากจิตบำบัดหรือจิตวิทยาการให้คำปรึกษาแบบทั่วไป

ธรรมชาติของจิตคือความเป็นปกติที่ไว้ใจได้
แม้เราอาจจะมีข้อสังเกตถึงความขัดแย้งระหว่างจิตวิทยาตะวันตกที่เน้นการทำงานกับตัวตน ในบางแห่งนิยามว่าเป็นการทำให้อัตตาแข็งแรงและสามารถที่จะอยู่ในสังคมได้ ในขณะที่พุทธศาสนาพูดถึงการละอัตตาตัวตน แต่สองสิ่งนี้สามารถทำงานร่วมกันและเป็นประโยชน์อย่างมากในการทำงานจิตบำบัด
คาเรนชี้ให้เห็นว่า คำสอนพุทธศาสนาไม่ได้ปฏิเสธการมีอยู่ของตัวตน ในความจริงระดับสมมติ (relative truth) เราจำเป็นที่จะมีอัตตาเพื่อฟังก์ชั่นได้ในโลก อัตตาคือสติปัญญาที่เป็นตัวเราและพาให้เรามีประสบการณ์กับโลก “ในมุมมองจิตวิทยาตะวันตก อัตตาหมายถึงความสามารถในการมีประสบการณ์ การใช้ตรรกะเหตุผล ซึ่งพุทธศาสนาไม่ได้มีปัญหากับตรงนั้น ปัญหาของอัตตาในพุทธศาสนาคือ เมื่อเราเชื่อว่ามีอัตตาที่เป็นตัวเราจริงๆ ที่ตายตัว เปลี่ยนแปลงไม่ได้ และต้องได้รับการปกป้อง พุทธศาสนาไม่เห็นด้วยกับสิ่งนี้”
คำสอนพุทธศาสนาชี้ให้เห็นถึงธรรมชาติของตัวตนที่เป็นความเปิดกว้าง ความยืดหยุ่น การสร้างสรรค์ และไม่จำเป็นต้องเป็นแบบเดิมตลอดเวลา ซึ่งนี่ถือเป็นพื้นฐานของการทำงานใน Contemplative Psychotherapy
“สำหรับฉัน คำสอนที่แยกระหว่างจิตบำบัดที่มีฐานการใคร่ครวญภายในกับจิตบำบัดแนวทางอื่นๆ คือ คำสอนว่าด้วยความว่าง (emptiness)”
แม้ในปัจจุบันจิตบำบัดจะมีแนวโน้มมาในทางที่ใช้การฝึกสติ และมุมมองตัวตนที่เปิดกว้างออกไป แต่สิ่งที่จิตบำบัดที่มีฐานการใคร่ครวญภายในไปไกลกว่า คือคำสอนพุทธศาสนาเรื่องความว่าง นักจิตบำบัดที่ฝึกมาในสายนี้ จะมีความเข้าใจในการทำงานทั้งในระดับตัวตน และ ระดับไปพ้นตัวตน
ความว่างในพุทธศาสนาไม่ได้หมายความว่าไม่มีอะไรเลยหรือสุญญนิยม แต่หมายถึง ว่างจากการยึดมั่นในตัวตนที่ตายตัว แยกขาด หรือความคิดต่างๆ ที่เรามีต่อตัวเองและต่อปรากฏการณ์ ดังนั้นในความว่างนี้ จึงเป็นความเป็นจริงที่เปลือยเปล่าและเต็มไปด้วยการเอื้ออิงอาศัยซึ่งกัน (interconnectedness) ซึ่งกลายมาเป็นทั้งหลักการ และวิธีการทำงานของ Contemplative Psychotherpy

ห้องการให้คำปรึกษาแบบ Contemplative มีหน้าตาเป็นอย่างไร?
หลังจากคุยกันถึงหลักการ เราถามคาเรนว่า แล้วในห้องให้คำปรึกษาของจิตบำบัดแนวทางนี้ มีลักษณะเป็นอย่างไร คาเรนก็ตอบตามตรงว่า “จริงๆ แล้ว มันไม่มีอะไรแตกต่างเลย”
“ในคำสอนความว่าง มีคุณสมบัติของความเอื้ออิงอาศัย ซึ่งหมายถึงในทุกชั่วขณะ เมื่อเราอยู่กับใครคนหนึ่ง ส่วนหนึ่งของเราคือประสบการณ์ตรงของคนนั้น มีการแลกเปลี่ยนกันเกิดขึ้น เช่น ถ้าเขาโกรธ เราอาจสัมผัสถึงความโกรธหรืออาจจะไม่ สิ่งที่เราทำคืออยู่กับประสบการณ์ตรงของเราเอง ของสถานการณ์ตรงหน้า และของการแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน”
การทำงานของจิตบำบัดที่มีฐานการใคร่ครวญภายในอาจเป็นวิธีการใดก็ได้ เช่น CBT, IFS หรือรูปแบบการบำบัดใดๆ Contemplative psychotherapy ไม่ใช่เทคนิค แต่เป็นการฝึกที่จะอยู่กับคนตรงหน้าในทุกชั่วขณะ อยู่ในความว่างของการไม่ตัดสิน ด้วยความเปิดกว้าง รักษาความกรุณาและไมตรี และสามารถที่จะตระหนักถึงประสบการณ์ที่เกิดขึ้นในตัวเองได้ ซึ่งการมีอยู่ของนักบำบัดเช่นนี้ก็จะเป็นประสบการณ์ตรงของผู้รับบริการ และเกิดการแลกเปลี่ยนกันอย่างเป็นธรรมชาติ
คาเรนเล่าว่า คนที่จบจากหลักสูตรนี้ไป อาจไปเรียนรูปแบบการบำบัดที่ตัวเองสนใจเพิ่มเติม และด้วยพื้นฐานของท่าทีเช่นนี้ จะเปิดพื้นที่ในความสัมพันธ์ระหว่างนักบำบัดกับผู้รับบริการ เอื้อให้ทุกปรากฏการณ์เข้ามาอยู่ในพื้นที่ของการทำงาน
เราทุกคนมีความดีพื้นฐานเป็นธรรมชาติที่แท้จริง
สิ่งสำคัญที่สุดของจิตบำบัดที่มีฐานการใคร่ครวญภายใน คือหลักการที่ว่า เราทุกคนมีธรรมชาติของความดีพื้นฐานและความเป็นปกติในตัวอยู่แล้วในทุกๆ ขณะ ไม่เคยมีวินาทีไหนเลยที่ธรรมชาตินี้ไม่อยู่ในตัวเรา ตรงนี้มาจากคำสอนธรรมชาติแห่งพุทธะ หรือ จิตพุทธะ หรือ ตถาคตครรภ์ (Buddha Nature / Tathagatagarbha) ในพื้นหลังของทุกปัญหา ทรอม่า หรือสภาวะจิตใดๆ คือธรรมชาติของความเป็นปกติพื้นฐาน ( Basic Sanity / Brilliant Sanity)
ดังนั้นมุมมองหรือความสัมพันธ์ในการบำบัดจึงไม่ใช่ความพยายามที่จะแก้ไขคนตรงหน้าที่มีอะไรบางอย่างผิดปกติ แต่เป็นการสร้างพื้นที่ให้ธรรมชาติของความดีพื้นฐานได้ปรากฏออกมาและให้การคลี่คลายเกิดขึ้นด้วยตัวมันเอง
“หน้าที่ของนักจิตบำบัดคือช่วยให้ผู้รับบริการกลับมาเชื่อมโยงกับพื้นฐานความเป็นปกติและความดีงามของตัวเขาเอง ผู้รับบริการที่เต็มไปด้วยความคาดหวังเข้ามาด้วยความรู้สึกแปลกแยกและโหยหา สิ่งที่สำคัญกว่าการเอาเทคนิคมาต่อสู้กับปัญหาของพวกเขาคือเราต้องนำพาเขาไปสู่พื้นฐานของความเป็นปกติดีที่มีอยู่แล้วในตัวพวกเขาเอง”
– เชอเกียม ตรุงปะ รินโปเช จากหนังสือ Sanity We Are Born With : A Buddhist Approach to Psychology
**หากสนใจศึกษาเกี่ยวกับ Contemplative Psychotherapy สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ในหนังสือ:
– เธอคืออิสรภาพ (Already Free), บรูซ ทิฟต์ เขียน, อุษณี นุชอนงค์ และ วิจักขณ์ พานิช แปล
– มิตรไมตรีไม่มีประมาณ (How to Be a Help Instead of a Nuisance), คาเรน คิสเซล เวเกลา เขียน, ดวงหทัย ชาติพุทธิกุล แปล
++++++++++++++++++++++++++++++++
หากท่านได้ประโยชน์จากการอ่านบทความชิ้นนี้ และชื่นชมการสร้างสรรค์เนื้อหาดีๆ บนเว็บไซท์นี้
ท่านสามารถร่วมบริจาคสนับสนุนการดำเนินงานของ vajrasiddha.com ได้ที่
ธนาคารกสิกรไทย สาขาบางกระบือ ชื่อบัญชี “มูลนิธิวัชรปัญญา” เลขที่ 053-3-67904-8