แปลและเรียบเรียงโดย ทีมงานวัชรสิทธา
ภาพประกอบโดย Nakkusu
การเปรียบเทียบการทำสวน เป็นวิธีการดั้งเดิมในการอธิบายแนวคิดเรื่องการยอมรับพื้นฐานของธรรมชาติเดิมแท้
อย่างไรก็ตาม อาจมีความเข้าใจผิดว่าการพัฒนาทางจิตวิญญาณคือการปฏิเสธพื้นฐานธรรมชาติและนำสิ่งแปลกปลอมเข้ามาเติมในผืนดิน ดังนั้นการเปรียบเทียบที่ควร คือการเพาะปลูกทางจิตวิญญาณแบบออร์แกนิก
ในบริบทนี้ “คนทำสวน” คือจิตที่ช่างสงสัยใคร่รู้ มีเล่ห์เหลี่ยมแต่สับสน คอยพยายามหาหนทางในการสัมพันธ์กับผืนดินที่ตัวเองอาศัยอยู่ “เรือกสวนไร่นา” คือธรรมชาติพื้นฐานที่มีการเกิดและการดับของแรงกระตุ้นและจิตสำนึกที่เกิดขึ้น นอกจากนี้ยังเป็นพลังงานอันอุดมสมบูรณ์ เป็นธรรมชาติที่ทั้งทำลายตัวของมันเองและก็สร้างสรรค์อยู่ในตัวด้วยเช่นกัน
มีความแยกขาดระหว่างคนทำสวนกับสวน ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องเห็นให้ได้ว่า ไม่ว่าการทำสวนจะถูกมองว่าเป็นความพยายามอย่างมีสติหรือเป็นการยอมรับแม้กระทั่งวัชพืชก็ตาม ดังนั้นทัศนคติแบบทวิลักษณ์บางอย่างจึงกลายเป็นสิ่งจำเป็น ความฝันอันเปี่ยมความหวังของคนทำสวน ผสานเข้ากับการปฏิสัมพันธ์อย่างสร้างสรรค์กับสวนเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ เนื่องจากความรู้อันข้ามพ้นและวิธีการที่ชาญฉลาดถูกนำมาใช้ตั้งแต่ต้นจนจบ
ใน “บทเพลงแห่งไม้เท้า” ของมิละเรปะนั้นได้กล่าวถึง “ทุ่งแห่งความปรารถนา” ซึ่งประกอบด้วยอัตตา อวิชชา กิเลสตัณหา และความก้าวร้าว หากปราศจากฐานในการทำงานด้วย ก็จะไม่มีแรงบันดาลใจ ภายในฐานของความปรารถนาเหล่านั้น การรับรู้ถึงความปรารถนาเหล่านี้ถือเป็นปุ๋ย เธอทั้งไม่ปฏิเสธและไม่ยอมรับ แต่เธอเห็นความเปลือยเปล่าของความปรารถนาเหล่านี้ กระบวนการหรือการกระทำนี้เองจะกลายเป็นปุ๋ย
นั่นคือการเตรียมการสำหรับการปฏิบัติแบบดั้งเดิมของการชื่นชมชีวิตมนุษย์และเห็นเหตุและผลของกรรม สิ่งเหล่านี้ รวมถึงการรับรู้ความจริงของความตายและทุกข์ของโลกแห่งสังสารวัฏ ถือเป็นการปฏิบัติ-เตรียมการ เมื่อค้นพบความทุกข์นี้แล้ว สถานการณ์กรรมของเธอก็กลายเป็นสิ่งที่อธิบายตนเองได้ ความมั่นคงในคำสอนและการรับคำสอนกลายเป็นสิ่งที่จริงจังมากขึ้น เธอเริ่มค้นพบว่าเธอเป็นพุทธะในตัวเอง การค้นพบธรรมชาติของพุทธะคือการงอกของเมล็ดพันธุ์ ที่มิละเรปะเรียกว่า “จิตที่ไม่สับสน” สถานการณ์ที่เราอยู่ ณ จุดนี้เป็นเครื่องยืนยันว่าการแสวงหาคำสอนของเรามาถูกทาง
บทเพลงแห่งไม้เท้า
ในเดือนแห่งฤดูใบไม้ผลินี้
เหล่าชาวนาทิเบตต่างยุ่งอยู่กับเรือกสวนไร่นาของพวกเขา
ข้า ผู้เป็นโยคี ก็ทำเรือกสวนไร่นาเช่นกัน
บนผืนนาอันเลวร้ายแห่งความปรารถนา ข้าหว่านปุ๋ยแห่งการปฏิบัติเตรียมพร้อม
ข้ารดผืนดินด้วยมูลของน้ำอมฤตห้าประการ
ข้าหว่านเมล็ดพันธ์แห่งจิตที่ไม่สับสน ทำเรือกสวนไร่นาด้วยความคิดที่รู้แยกแยะ
ข้าไถด้วยวัวแห่งอทวิลักษณ์ เทียมด้วยแอกแห่งปัญญา
ศีลเป็นบ่วงคล้องจมูก และความพยายามที่ตั้งมั่นเป็นสายรัดอก
ความเพียรคือแส้ของข้า และความชำนาญคือบังเหียนของข้า
ด้วยเครื่องมือและความพยายามเหล่านี้ หน่อแห่งโพธิเริ่มงอกงาม เมื่อถึงฤดูกาลที่เหมาะสมผลผลิตของข้าก็จะผลิบาน
เธอเป็นชาวนาที่ปลูกพืชปีต่อปี แต่ข้าเพาะปลูกเพื่อความเป็นนิรันดร์
เมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยว เธอต่างภูมิใจและยินดี
แล้วใครกันเล่าระหว่างเราทั้งสองที่จะเป็นสุขยิ่งในท้ายที่สุด
ในคำเปรียบเปรยนี้ข้าได้แต่งบทเพลงแห่งการเพาะปลูกนี้
แม้จะภูมิใจและหยิ่งผยอง จงร่าเริงและปีติยินดีเถิด
ด้วยการถวายบูชามากมาย
เพื่อสั่งสมบุญกุศลเพื่อความดีของตัวเธอเอง
หมายเหตุ
น้ำอมฤตทั้งห้า (ปัญจอมฤต) มักถูกกล่าวถึงในสาธนา หรือพิธีภาวนาแนวตันตระ ว่าเป็น เครื่องหมายแห่งการยอมรับและแปรเปลี่ยนสิ่งที่ปกติถูกมองว่าน่ารังเกียจให้เป็นธรรมะอันบริสุทธิ์ เช่น
- อุจจาระ (excrement) – แทนการแปรเปลี่ยนสิ่งที่สกปรกให้เป็นปัญญาแห่งความว่าง
- ปัสสาวะ (urine) – แทนการชำระอวิชชา
- เลือด (blood) – แทนพลังชีวิตและกรุณา
- อสุจิ (semen) – แทนพลังแห่งการเกิดและปัญญาญาณ
- เนื้อ (flesh) – แทนความเป็นรูปกายและพลังแห่งการตระหนักรู้
