แปลและเรียบเรียงโดย ทีมงานวัชรสิทธา
ภาพประกอบโดย Nakkusu
จากอวิชชา ก่อเกิดขันธ์ ธาตุ อายตนะ พร้อมด้วยอารมณ์ต่าง ๆ ซึ่งแผ่ขยายออกไปในโลกทั้งสาม (โลกวัตถุ โลกจิต และโลกเหตุปัจจัย)
– พระสูตรลังกาวตาร (Lankavatara Sutra)
เพื่อจะเข้าใจอย่างแม่นยำยิ่งขึ้นถึงกระบวนการที่ทำให้เรายืนยันความมั่นคงของ “ตัวฉัน” กับ “สิ่งอื่น” — นั่นคือ กระบวนการเกิดขึ้นของอัตตา — เป็นประโยชน์อย่างยิ่งที่เราจะรู้จักกับคำสอนในพุทธศาสนาที่เรียกว่า ขันธ์ห้า
อัตตาเกิดขึ้นผ่านกระบวนการห้าขั้นตอน ได้แก่
ขันธ์ที่หนึ่ง เป็นเสมือนจุดเริ่มต้นของอัตตา “รูปขันธ์” เป็น อวิชชาขั้นพื้นฐาน — การเพิกเฉยต่อคุณลักษณะของ “พื้นที่” ที่เปิดกว้าง ลื่นไหล และเต็มเปี่ยมด้วยปัญญา
“มีเพียงความว่างอันไร้ขอบเขตของการดำรงอยู่เท่านั้น — เป็นตัวมันเองอย่างสมบูรณ์และเปล่งประกายในตนเอง โดยไม่มีคุณลักษณะใด ๆ — สิ่งนี้ไม่สามารถเข้าใจได้ด้วยปัญญาธรรมดา แต่ต้องเข้าถึงด้วยการรู้แจ้ง มันไร้ซึ่งจุดอ้างอิงใด ๆ ไม่อยู่ในร่างกาย แต่มันคือ พื้นที่”
เมื่อช่องว่าง หรือ “พื้นที่” ปรากฏขึ้นในประสบการณ์ของจิต — เมื่อเกิดแวบหนึ่งของความตื่นรู้ ความเปิดกว้าง การไร้ตัวตน — ความสงสัยก็เกิดขึ้น: “ถ้าฉันค้นพบว่าไม่มี ‘ตัวฉัน’ ที่มั่นคงอยู่จริงล่ะ?” ความเป็นไปได้นี้ทำให้เราหวาดกลัว ไม่อยากเข้าไปสัมผัส ความหวาดระแวงอันเป็นนามธรรม ความไม่สบายใจที่รู้สึกว่าอาจมีบางอย่างผิดปกติ คือรากเหง้าของ ปฏิกิริยากรรม ที่เกิดขึ้นเป็นลูกโซ่
ความกลัวที่จะไม่มีตัวตน กลัวสภาวะไร้อัตตา ความกลัวพัง เป็นภัยคุกคามอย่างยิ่งสำหรับเรา ความคิดที่ว่า “ถ้ามันเป็นความจริง แล้วฉันจะทำอย่างไร?” ทำให้เราไม่กล้าหันไปมอง เราต้องการยึดบางอย่างไว้ให้มั่น แต่สิ่งเดียวที่มีอยู่ก็คือ พื้นที่ — ความไม่มีอัตตา — ดังนั้นเราจึงพยายาม ตรึง หรือ แช่แข็ง ความว่างนั้นให้กลายเป็นสิ่งที่จับต้องได้
อวิชชา ในที่นี้ไม่ใช่ความโง่ แต่เป็น ความดื้อรั้น — เราถูกทำให้มึนงงจากการเผชิญหน้ากับความไร้ตัวตน และไม่ต้องการยอมรับมัน เราจึงพยายามยึดถือสิ่งใดบางอย่างไว้แทน
ขันธ์ที่สอง จึงเกิดขึ้น — “เวทนา” หรือ ความรู้สึก — เราพยายามหาสิ่งมาทำให้ตัวเองวุ่นวาย หันเหจากความว่างเปล่าและความโดดเดี่ยว กรรมจึงเริ่มต้นขึ้น กรรมขึ้นอยู่กับ “ความสัมพันธ์ของสิ่งนี้กับสิ่งนั้น” — การมีอยู่ของฉัน และภาพลวงตาที่ฉันสร้างขึ้น เราพยายามยืนยันการมีอยู่ของตัวเองผ่าน “ความรู้สึก” ที่เกิดจากสิ่งต่าง ๆ ภายนอก เพื่อให้แน่ใจว่า “เรายังมีตัวตนอยู่”
ขันธ์ที่สาม คือ “สัญญา/สังขาร” — อัตตาเริ่มพัฒนา กลยุทธ์ สามอย่างในการจัดการกับภาพลวงตาเหล่านั้น: ความเฉยเมย (indifference), ความใคร่หรือหลงใหล (passion), และความก้าวร้าว (aggression)
สิ่งเหล่านี้ถูกชี้นำโดย “การรับรู้” — ซึ่งก็คือการที่เราคอยรายงานอย่างเป็นทางการกลับไปยัง “ศูนย์บัญชาการ” ว่าขณะนี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง เพื่อจะได้วางแผนรับมือ
เฉยเมย – เราทำให้พื้นที่ที่เปราะบางด้านในกลายเป็นมึนชา สวมเกราะเพื่อหลีกเลี่ยงความเจ็บปวด
หลงใหล – พยายามคว้าและยึดครองสิ่งที่คิดว่าจะเติมเต็มความรู้สึกพร่อง
ก้าวร้าว – สะท้อนจากความกลัวว่าเราจะอยู่ไม่ได้ จึงพยายามป้องกันตนเองด้วยการรุกใส่สิ่งที่คุกคาม
ความพยายามเหล่านี้ล้วนเป็นผลจากความรู้สึก “ขาด” หรือ ภาวะยากจนทางจิตใจ ที่ผลักให้เราต้องเร่งรีบแสวงหาความอยู่รอดอยู่ตลอดเวลา
ขันธ์ที่สี่ คือ “สังขาร” — ความคิด, แนวคิด, ปัญญาเชิงสร้างสรรค์
เมื่ออัตตาเริ่มมีข้อมูลมากมายจากการรับรู้ มันจึงเริ่มจัดหมวดหมู่ ตั้งชื่อ แยกแยะ ใส่ลงในกล่อง เพื่อทำให้โลกภายในของมันดูมีระบบ เป็นการ “รับรองอย่างเป็นทางการ” ว่าสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เป็นจริง
แต่แค่นั้นยังไม่พอ — เรายังต้องการระบบประสานงานที่คอยควบคุมกระบวนการทั้งหมดนี้
ขันธ์ที่ห้า คือ “วิญญาณ” — สภาวะรู้, อารมณ์, และกระแสความคิดที่ไม่เป็นระเบียบ
ทั้งหมดนี้รวมกันกลายเป็น “โลกแฟนตาซี” หกแบบ ที่เราหมกมุ่นอยู่ในนั้น — เรียกว่า “ภพหก”
อารมณ์ทั้งหลาย เป็นเหมือน “นายพล” ของกองทัพอัตตา ความคิดระดับจิตใต้สำนึก ความฝันกลางวัน และความคิดอื่น ๆ คือเส้นที่เชื่อมและไฮไลต์อารมณ์เข้าด้วยกัน
ดังนั้น “ความคิด” จึงเป็น “ทหาร” ของกองทัพอัตตา ความคิดของเรามีลักษณะ “วิปลาส” — กระจัดกระจาย วนไปมา และเปลี่ยนทิศทางตลอดเวลา เรากระโดดจากความคิดหนึ่งไปยังอีกความคิดหนึ่ง — จากเรื่องธรรมะ ไปสู่วาบความใคร่ ไปสู่เรื่องเงิน เรื่องบ้าน และอื่นๆ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ขันธ์ทั้งห้า — อวิชชา/รูป, เวทนา, สัญญา, สังขาร, วิญญาณ — คือกระบวนการทั้งหมดที่อัตตาใช้เพื่อปกป้องตนเองจากความจริงที่ว่า: “เราไม่มีตัวตนที่แท้จริง”
การภาวนา คือการฝึกเห็น ความโปร่งใสของเกราะป้องกันนี้ เราภาวนาเพื่อเรียนรู้ที่จะสัมพันธ์กับชีวิตอย่างเปิดกว้าง และตระหนักว่า ขันธ์ทั้งห้าล้วนไม่มีตัวตน
แต่เราไม่สามารถเริ่มต้นได้ด้วยการรื้อ “อวิชชา” ในทันที นั่นเหมือนกับพยายามพังกำแพงทั้งแผงในครั้งเดียว
หากเราจะรื้อกำแพง เราต้องรื้อทีละก้อนอิฐ เราจึงเริ่มทำงานจากสิ่งที่มีอยู่แล้วตรงหน้า ประหนึ่ง “หินก้าว” เราเริ่มจากการสัมพันธ์กับความคิดและอารมณ์ โดยเฉพาะกระบวนการทางความคิด
การภาวนาเริ่มจากตรงนั้น