บทสัมภาษณ์โดย ทีมงานวัชรสิทธา

อาจารย์ตั้ม กับ อาจารย์ตุล รู้จักกันได้ยังไง?
ถ้าใครได้อ่าน บทสัมภาษณ์ “ชามดอง” หรือ อ.ศาสวัต บุญศรี ในเว็บไซต์ศิลปวัฒนธรรม silpa-mag.com เหมือนผมจะมาเล่าเรื่องตุลต่อจากช่วงนั้น ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นช่วงปี 2555 ประมาณนั้น เป็นช่วงที่เขาเป็นที่รู้จักในชื่อ “เชฟหมี” แล้ว แต่ไม่อยากไปต่อกับบทบาทนี้ ตุลมาเจอผมในช่วงที่เขามีความสับสนกับทิศทาง และตั้งคำถามกับตัวตนของตัวเองบางอย่าง
บริบทคือหลังสลายการชุมนุมปี 53 ประมาณปีกว่าสองปี เป็นช่วงที่การเมืองกำลังร้อนแรง ผมฉีกตัวเองออกจากแวดวงจิตวิญญาณ แล้วเข้าไปขลุกกับการเมือง ผมทำบทสัมภาษณ์เสื้อแดงหลายชิ้น เปิดมุมมองศาสนา/จิตวิญญาณกับการเมือง โดยเฉพาะมิติของความเห็นอกเห็นใจ ความรุนแรงเชิงโครงสร้าง และการเคียงข้างผู้ถูกกดขี่ ผมลงพื้นที่ ไปร่วมการชุมนุม เปิดทำความรู้จักเพื่อนกลุ่มใหม่ๆ ที่มีความคิดก้าวหน้าทางเฟซบุค ช่วงนั้นผมได้พบเจอทำความรู้จักตัวละครใหม่ๆ ฝ่ายก้าวหน้าที่เป็นอาจารย์สายสังคมศาสตร์ บรรณาธิการ นักเขียน ศิลปิน นักเคลื่อนไหว นักสิทธิ นักข่าว ซึ่งหลายคนก็ยังเป็นเพื่อนกันมาจนถึงทุกวันนี้ อาจกล่าวได้ว่า ตุล ก็เป็นคนหนึ่งที่เข้ามารู้จักกันในช่วงนั้น

คือรู้จักกันทางเฟซบุค?
เปล่าๆ ผมเจอกับตุลที่จุฬาฯ ตอนนั้นผมสอนอยู่ที่ วิทยาลัยศาสนศึกษา มหิดล เป็นอาจารย์พิเศษ ส่วนตุลเป็นอาจารย์ประจำที่ภาคปรัชญา ศิลปากร เราเจอกันเพราะ อ.โคทม (อารียา) แห่งศูนย์สันติวิธี มหิดล ท่านมีโครงการที่จะให้นักวิชาการด้านศาสนศึกษาสังเคราะห์องค์ความรู้สันติวิธีจากภูมิปัญญาศาสนาต่างๆ ก็มีจดหมายเชิญให้คนโน้นคนนี้มาประชุม แล้วเซ็นสัญญาเขียนงานวิจัยอะไรทำนองนั้น ผมกับตุลก็ไปร่วมประชุมด้วย หลายปีผ่านไป นึกถึงทีไรผมกับตุลยังขำกันว่า สุดท้าย อ.โคทม ที่ทำให้เราได้เจอกันก็มาเป็นสมาชิกสังฆะวัชรปัญญา เป็นเพื่อนผู้ปฏิบัติภาวนาด้วยกันกับเรา
ตอนนั้นคือรู้จักกันอยู่แล้วไหม?
ช่วงนั้นครัวกากๆ ดังเป็นไวรัล ใครๆ ก็ต้องรู้จัก จำได้ว่าตอนดูครัวกากๆ ก็รู้สึกว่า เฮ้ย ไอ้นี่มันใช้ได้เว้ย เหมือนจะไปได้ข้อมูลมาจากไหนด้วยว่า คนนี้เขามีความรู้ เป็นอาจารย์ รู้เรื่องศาสนาอะไรงี้ แต่ก็ไม่ได้อะไรมาก แค่รู้สึกได้ว่าเป็นคนที่น่าสนใจ วันนึงคงได้เจอกัน
มันเป็นความรู้สึกแบบนั้นจริงๆ หลังปี 53 คนที่มีความคิดก้าวหน้าจะเทมารวมกัน ช่วงเสื้อแดงเหมือนเป็นช่วงเปลี่ยนกลุ่มเพื่อน ทำให้เราโคจรไปเจอกับคนที่เราต้องเจอ ตุลรู้จักผมมาก่อนแล้ว เขาเป็นลูกศิษย์ อ.ประมวล ผมขอให้ อ.ประมวลเขียนคำนำงานแปลเล่ม “กลลวง” ของเชอเกียม ตรุงปะ รินโปเช ให้ ซึ่งอาจารย์เขียนคำนำให้อย่างเว่อวังอลังการมาก ผมเพิ่งเริ่มเป็นที่รู้จักในแวดวงจิตวิญญาณ แล้วจู่ๆ ก็หันเหไปเป็น “เสื้อแดง” เกรี้ยวกราดไปทั่ว ตุลเขาก็คงได้ยินกิตติศัพท์มาพอสมควร
ตุลเขาอ่อนกว่าผมประมาณ 2 ปี ตอนแรกเขาเรียกผม “พี่ตั้ม” พี่ตั้มกับน้องตุล 55 เจอกันที่งานประชุม ก็แค่มองหน้ากัน ไม่ได้คุยอะไร จบงานผมเดินจากจุฬาฯ ไปมาบุญครอง สักพักก็รู้สึกเหมือนมีคนเดิมตาม หันไปดู อ่าว เชฟหมี นี่หว่า เราก็เลยชะลอๆ แล้วก็ได้ทักทายกัน เขาก็บอกว่าอยากมีโอกาสสนทนากับผม เราก็แลกคอนแท็คกัน แล้วก็นัดเจอ

ครั้งแรกคุยกันเรื่องอะไร?
ตุลเปิดประเด็นเรื่องครู ช่วงนั้นเขาเหมือนมีความสับสนลึกๆ ในใจบางอย่าง เขาเล่าให้ฟังถึงความสัมพันธ์กับ อ.ประมวล แล้วก็เล่าที่เขาไปเรียนกับอาจารย์ลลิต ขอเรียนพระเวท แล้วได้บวชเป็นพราหมณ์ ผมรู้สึกว่าเขามาสายโรแมนติก ความรัก ศรัทธา …ก้มกราบ รับใช้ครู ล้างเท้าให้ครู อะไรประมาณนั้น ก็โอเคนะ ไม่อะไร แล้วผมก็เล่าให้เขาฟังถึงสายสัมพันธ์ระหว่างผมกับอาจารย์เร้จจี้ การฝึกปฏิบัติในสายธรรมของเชอเกียม ตรุงปะ ซึ่งเป็นอะไรที่ตื่นตาตื่นใจสำหรับตุลมากๆ ในตอนนั้น
มันมาจากคนละโลก ตุลเขาอยู่ในโลกแบบครูโบราณ ผมก็มาแบบโลกร่วมสมัย มีความสมัยใหม่ eye-level มันมีบางอย่างคลิกกันตั้งแต่คุยกันครั้งแรก คุยไปสักพักเขาก็ร้องไห้ บอกว่ารู้สึกสั่นไหวเวลาผมพูดถึงบทบาทครูในการถากถางตัวตนเรา ทุบทำลายอัตตาเรา เขาแชร์ว่ารู้สึกเชื่อมไม่ได้กับครูของเขาในบางแง่มุม เช่น ชีวิตทางโลก สังคม การเมือง ซึ่งช่วงนั้นสถานการณ์ทางการเมืองมันก็ร้อนแรงจริงๆ คนที่มีความคิดก้าวหน้าก็จะตั้งคำถามกับความสัมพันธ์กับคนรอบตัวในมิติเชิงคุณค่าบางอย่าง ผมก็ถามตุลว่า เขามีภาพอุดมคติของครูทางจิตวิญญาณสูงไปไหม? เขายึดติดที่ตัวบุคคลของครูมากเกินไปหรือเปล่า? เขายังพึ่งพาครูในฐานะที่เป็นอำนาจนอกตัวอยู่ไหม? เขาพร้อมศิโรราบอัตตาต่อครูภายในหรือยัง? แล้วผมก็แชร์เรื่องความเป็นครูของเชอเกียม ตรุงปะ ที่ผมเคารพนับถือ
เขามักพูดถึงการเจอกับผมว่าเปลี่ยนชีวิตเขาไปแบบไม่มีทางกลับไปเป็นเหมือนเดิม คิดว่าก็น่าจะมีที่มาจากบทสนทนาครั้งแรกนั้น
พอเจอกันก็สนิทกันทันทีเลยไหม?
หลังจากวันนั้น ตุลเขาก็ชวนไปที่ภาคปรัชญา ศิลปากร ไปเจอนักศึกษาในชั้นของเขา ไปเจอเพื่อนๆ อาจารย์ร่วมภาควิชาของเขา จริงๆ ก่อนหน้านั้นผมมีโอกาสได้รู้จักกับ อ.ชาญณรงค์ มาก่อนแล้ว ก็เหมือนจักรวาลจัดสรร แล้วผมก็ชวนตุลไปสอนในคลาสผมที่มหิดล ตอนนั้นเริ่มมีการฟอร์มทีมนักวิชาการด้านศาสนาหัวก้าวหน้า อ.ชาญณรงค์ ชวนผม ตุล อ.สุรพศ อ.ภิญญพันธุ์ ในชื่อกลุ่ม “พุทธศาสน์เพื่อราษฎร” ผมเริ่มเขียนคอลัมน์ให้มติชน มีงานเขียนเรื่องศาสนากับการเมืองออกมาต่อเนื่อง ก็มีประเด็นให้ได้คุยกันตลอด ไปม็อบ ไปคุก ไปเจอคนนั้นคนนี้ งานเสวนาก็เยอะมาก เป็นช่วงที่เรามาเจอกัน แล้วมีอะไรให้เติบโตทางความคิดไปด้วยกันเยอะ

เราสนิทกันช่วงแรกผ่านงานทางความคิด แต่ยังไม่ได้รู้จักกันลึกๆ ในทางจิตวิญญาณ ยังจำได้ลางๆ ว่าช่วงแรกเหมือนคุยเรื่องศาสนาจิตวิญญาณกันไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่ (ฮา) เหมือนเล่นโน้ตกันคนละคีย์ ศัพท์แสงที่ตุลใช้ มีความเป็นหลักการทางศาสนา มีกลิ่นอินเดีย กลิ่นแบบ tradition ค่อนข้างมาก ส่วนผมก็กลิ่นตะวันตก เป็นภาษาจิตวิทยา ภาษาสมัยใหม่ ไปเลย ช่วงแรกๆ เขาปรับเข้าหาผม มากกว่าที่ผมปรับเข้าหาเขา เขาเริ่มมาสนใจแนวคิดแบบ secular การอธิบายประสบการณ์ทางศาสนาแบบจิตวิทยา แบบผ่านประสบการณ์ตรง เริ่มมาสนใจปฏิบัติภาวนา ก็เพราะผม ในทางกลับกัน ผมจะงงๆ ทำตัวไม่ถูกทุกครั้งเวลาเข้าไปในโลกของตุล รู้สึกว่ามันเยอะ 55
อะไรที่ทำให้ตุลกับตั้มเป็นมากกว่าเพื่อนทางความคิด?
ความเป็นเพื่อนของเราน่าจะพัฒนามาจากความรู้สึกที่ว่า “เราเปราะบางกับคนนี้ได้” ซึ่งเกิดขึ้นตั้งแต่ตอนเจอกันครั้งแรก ผมจำภาพที่เราเดินคุยกันในคณะอักษรได้ เขาบ่นกับผมว่าเขายังไม่มีแฟนเลย อยากมีแฟนบ้างอะไรงี้ แล้วหลังจากนั้นเดือนสองเดือน เขาก็มาบอกผมว่า เขามีแฟนแล้วชื่อ น้องแพร์ อยากให้ผมได้รู้จัก เส้นทางชีวิตคู่ระหว่างตุลกับแพร์ สำหรับผม เป็นอะไรที่น่าทึ่งมาก และผมก็อยู่ร่วมรับรู้ ร่วมเป็นสักขีพยานมาตั้งแต่ต้น ตอนที่แม่ตู่ – แม่ของตุลเสียชีวิต เราก็คุยกันเยอะ
ในทางกลับกัน ตุลก็รู้จักด้านเปราะบางของผมเช่นกัน ผมพาตุลไปรับลูกสาวผมที่โรงเรียน ลูกสาวผมเล่นกับตุล มีตุลเป็นพ่ออีกคนมาตั้งแต่อนุบาล เขาเป็นเพื่อนและผู้ฟังที่ดีเวลาผมทุกข์ใจหนักๆ บางครั้งผมก็เอาลูกไปฝากตุลกับแพร์ ไปเดินห้างด้วยกัน ไปสวนสนุกด้วยกัน นอนดูหนังด้วยกัน ความรู้สึกของการเป็นครอบครัวเดียวกันก็เกิดขึ้นจากตรงนั้น
ตุลเหมือนเปิดประตูอ้าซ่าให้ผมเข้ามาในชีวิตตั้งแต่วันแรกที่รู้จักกัน เขาแนะนำให้ทุกคนรู้จักผมในฐานะคนที่มีความสำคัญกับชีวิตของเขามากๆ นอกจากความคิดที่ก้าวหน้า ความเปราะบาง และความจริงใจ อีกพาร์ทที่ทำให้เราสนิทกัน ก็คือ พาร์ทความบ้าบอคอแตก 555 มันไม่ใช่แค่ศีลเสมอกันทางจิตวิญญาณ แต่เรามีศีลเสมอกัน รับกันได้ในเรื่องโลกๆ ด้วย ความแนบแน่นสนิทสนมของเรามาจากความเข้าใจที่ว่า คุณค่าทางจิตวิญญาณกับคุณค่าทางโลกไม่ใช่สองสิ่งที่แยกขาดจากกัน แต่มันสามารถหลอมรวมเป็นเนื้อเดียวกันได้ทั้งหมด ในความธรรมดาและความรัก

แล้วในพาร์ทจิตวิญญาณเริ่มมาแนบแน่นกันตอนไหน?
ช่วงแรกเราเหมือนเพื่อนต่างศาสนาที่รักกัน กระทั่งประมาณกลางปี 2558 ตุลมาสมัครเรียนภาวนากับผมที่เสมสิกขาลัย ซึ่งเข้าใจว่าประสบการณ์ครั้งนั้นน่าจะเปิดโลกเขามากๆ ถัดจากนั้นไม่นาน ต้นปี 2560 วัชรสิทธาก็เกิดขึ้น เรียกได้ว่าเป็นสถาบันที่เราสองคนปลุกปั้นมาด้วยกัน ตุลเข้ามาในโลกของผมมากขึ้น จริงจังกับเส้นทางพุทธธรรมมากขึ้น มาเรียนภาวนาต่อเนื่อง เข้ารับศีล ร่วมเป็นสมาชิกสังฆะ ฯลฯ และวัชรสิทธาก็มีคลาสของตุล ผมจึงได้เข้าไปในโลกของตุล เรียนอุปนิษัทกับตุล จากนั้นก็ภควัทคีตา เวทานตะ ฯลฯ ตุลได้สอนเรื่องการทำพิธีกรรมพื้นฐานในคอร์ส “ปูชา” “มนตร์” มีปีนึงจัด “คเณศปูชา” ด้วย ซึ่งมิติพิธีกรรมที่ตุลจุดประกายไว้ที่วัชรสิทธาเป็นอะไรที่ว้าวมากจริงๆ พลังของมนตร์พิธีไปต่อยอดอย่างทรงพลังในงาน Sacred Mountain Festival และมาสุกงอมอย่างแจ่มชัดที่สุด ที่ “อวโลกิตะ” คลาสทั้งหมดที่ตุลสอนที่วัชรสิทธา เขาปรับให้สอดคล้องกับพื้นที่ตรงนี้ ซึ่งเป็นพื้นที่ทางจิตวิญญาณร่วมสมัย และเขาก็ได้ค้นพบศักยภาพตัวเองในฐานะครูทางจิตวิญญาณจากการเกิดขึ้นของวัชรสิทธาด้วย
(ติดตามอ่านตอนต่อไป)
