บทความโดย THANYA วัชรสิทธา
ภาพถ่ายโดย BEZ CHAISUWAN
เมื่อเธอได้อยู่ในพื้นที่แห่งเวทมนตร์ เธอจะตื่นตาตื่นใจ เธอจะเปิดกว้าง เธอจะร่ายรำไปกับปรากฎการณ์ เธอจะท่วมท้น แต่เมื่อเวลานั้นผ่านไป เธอก็จะค่อยๆ ลืมมัน
(1)
หลังสลายมณฑล
หลังสิ้นสุดงาน ผู้คนกลับลงไปหมดแล้ว พื้นที่ที่เคยมีผู้คน มีแสง เสียง มีการประดับตกแต่ง มีมวลพลังมากมาย กลับคืนสู่ความว่าง ภาพตรงหน้าเป็นลานค่ายเยาวชนเชียงดาวที่เหมือนจะคุ้นเคย แต่ก็แปลกหน้าในขณะเดียวกัน ราวกับเพิ่งตื่นจากความฝัน ที่เหมือนจะจำเรื่องราวในฝันได้ แต่ก็งงว่า จริงๆ แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ นั่นเรื่องจริงหรือฝันไปนะ
Sacred Mountain Festival ปีนี้จัดเป็นครั้งที่ 4 เทศกาลที่เป็นส่วนสำคัญใน spiritual journey ของผู้คนมากมาย ในเวลาห้าวัน เทศกาลจิตวิญญาณนี้พาเราให้กลับเข้าสู่มิติภายใน และไม่เพียงแค่นั้น Sacred Mountain ยังพาเราเข้าไปสัมผัส …ว่าโลกศักดิ์สิทธิ์มีอยู่จริง
(2)
Magic in activities with all the magicians
หากให้เล่าภาพคร่าวๆ ของงาน Sacred Mountain คงเล่าให้เข้าใจง่ายที่สุดได้ว่า เป็นเทศกาลจิตวิญญาณ ที่จะมี workshop หลากหลายให้เข้าเพื่อให้ได้ทำงานกับมิติภายในของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น กระบวนการเรียนรู้ต่างๆ, การเขียนบทกวี, การเคลื่อนไหวร่างกาย, เสียง, ดนตรี, ภาวนา หรือวงสนทนา เหล่านักเวทย์ “magician” ที่มานำกิจกรรมก็จะพาให้คนเข้าร่วมเทศกาลได้เรียนรู้ศาสตร์นั้นๆ และพาให้มีประสบการณ์ด้วยตัวเอง
หัวใจสำคัญที่ทำให้กระบวนการเรียนรู้ภายในทั้งหลายเป็นไปอย่างรุ่มรวยและมีความหมาย คือการที่ทั้งตัว magician และผู้เข้าร่วมเปิดกว้างต่อกัน และประสบการณ์ทั้งหลายที่เกิดขึ้น ซึ่งสิ่งนี้เกิดขึ้นในงาน Sacred Mountain อย่างเป็นธรรมชาติมากๆ ทุกคนล้วนนำหัวใจที่เปิดกว้างมาใช้เวลาอยู่ในพื้นที่เดียวกัน บทสนทนา น้ำตา เสียงหัวเราะ มิตรภาพ สายสัมพันธ์มากมายจึงเกิดขึ้นในที่แห่งนี้ เมื่อทุกคนพาหัวใจมาเจอกัน ทำความรู้จักกันในระดับที่ลึกลงไปกว่าพื้นผิว จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่ Sacred Mountain ไม่ได้หยุดอยู่แค่การเป็นเทศกาลประจำปี แต่ได้กลายเป็น community ที่มีชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงนี้ที่งานเพิ่งจบไปหมาดๆ กลุ่ม social media ก็ยังระอุด้วยควันหลงจากงาน
พี่ตั้ม พี่อุ๊ พี่ชนินทร์ พูดเสมอๆ ว่า ทุกคนที่มางานนี้เป็น magician กันทั้งนั้น แต่ละคนมีของดี มีดอกผลจากเส้นทางจิตวิญญาณของตัวเองที่พร้อมจะแบ่งปันให้ผู้อื่น ทุกวงสนทนาที่เกิดขึ้นในงาน (ซึ่งเกิดขึ้นเยอะมากกก) ล้วนเป็นสิ่งที่ให้ได้ใคร่ครวญ เรียนรู้ไปด้วยทั้งนั้น และความน่ารักอย่างหนึ่งของงานนี้คือ เหล่า magician ที่มาจัด workshop ก็มาใช้เวลาอยู่ในพื้นที่กับทุกๆ คนด้วยเช่นกัน บางทีก็ไปเข้า workshop ของคนอื่น สลับบทบาทกันอยู่ในพื้นที่ ทำให้เวิร์คช็อปของ magician แต่ละคนผสมกลมกลืนกับบรรยากาศของงาน บางคนเลือกที่จะเตรียม workshop มาแค่ครึ่งเดียว (หรือบางคนมีมาแค่ชื่อหัวข้อ) ที่เหลือรอให้มันเกิดขึ้นเองภายในงาน ไว้วางใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในพื้นที่นี้เต็มไปด้วยปัญญาญาณและการตื่นรู้
(3)
พิธีกรรม – สัมพันธ์กับโลกธรรมชาติ – มอบถวายและรับความรัก
ส่วนสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งที่ขาดไม่ได้ของงาน Sacred Mountain คือส่วนพิธีกรรม เพราะเรากำลังสร้างสายสัมพันธ์กับพื้นที่ และกับโลกศักดิ์สิทธิ์ที่เรากำลังร้องขอให้เขาปรากฎให้เราได้สัมผัส โดยใช้พิธีกรรมเป็นดั่งสะพานเชื่อม
งาน Sacred Mountain ครั้งนี้จัดที่เชียงดาว และครั้งก่อนหน้า ได้ไปจัดที่เกาะพะงันในปี 2021 การเลือกสถานที่จัดทั้งสองเกิดขึ้นจากสัมผัสแห่งความเชื่อมโยงที่ผู้จัดรู้สึกได้กับพื้นที่ พลังของดอยหลวงเชียงดาว ตระหง่าน สง่างาม ยืนหยัดเข้มเแข็ง เป็นดั่งความมั่นคงของพ่อ และเกาะพะงันที่มีความเลื่อนไหล เคลื่อนไหว เปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา และเป็นผืนทะเลอ้อมกอดของแม่ที่พร้อมจะรองรับทุกสิ่งอย่างไม่มีเงื่อนไขด้วยความรัก พิธีกรรมคือการแสดงเจตจำนงของการจัดงานและเชื่อมโยงกับจิตวิญญาณของสถานที่ เชื้อเชิญให้บางสิ่งบางอย่างที่ใหญ่กว่าตัวเราเข้ามาใกล้เรามาก มากเสียจนถึงจุดหนึ่งเส้นแบ่งระหว่างตัวเราและโลกอันศักดิ์สิทธิ์หายไป หลอมละลายเข้าด้วยกัน
ในปีนี้ ภายในงานมีการตั้ง shrine เพื่อเป็นจุด connect ขึ้นมาถึง 7 แห่ง
- Fire Shrine – ศาลเจ้าหลวงคำแดง ผู้ปกปักดอยหลวงเชียงดาว
- Water Shrine (Naga Shrine) – บนหินริมลำธาร ต้นน้ำแห่งชีวิตที่รินไหลหล่อเลี้ยงสู่ท้องทะเลอ่าวไทย
- Wind Shrine – ริ้วธงสถูปมนตร์ กับกระดิ่งลมบนต้นไม้ รับรู้เสียงความเคลื่อนไหวและสัมผัสของธรรมชาติพัดผ่านผิว
- Earth Shrine – Labyrinth เขาวงกดที่พาเดิน ยืนยันเจตจำนง ถ่ายเท รินรดลงสู่ผืนดิน
- Heart Space Shrine – ถ้ำในซอกหินที่พาสัมพันธ์กับหัวใจ และสัมพันธ์ไปกับความว่างอันกว้างใหญ่ของจักรวาล
- Mother Shrine – ต้นไม้มารดาผู้หยั่งรากแผ่กิ่งที่รองรับ โอบอุ้ม อบอุ่น เป็นดั่งอ้อมกอดของแม่
- Guru Shrine – ครูที่อยู่ในทุกสิ่ง โลกธรรมชาติ ผู้คน สถานการณ์ ผู้สอนให้เราเข้าถึงความจริงแท้ของโลกที่ศักดิ์สิทธิ์
ในเช้าวันแรกสุดของงาน Sacred mountain พิธีเปิดในปีนี้ อาจารย์ตุล คมฤช อุ่ยเต็กเค่ง ใช้บทบาทของ shaman พาเริ่มต้นให้ผู้คนทั้งงานได้มีสายสัมพันธ์กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในพื้นที่แห่งนี้ บทสวด ของถวาย เสียงกลอง ระฆัง และดนตรี ควันหอม บทวิงวอน อันเต็มไปด้วยเจตจำนงของพวกเราที่มอบถวายไป เริ่มพาให้รับรู้ถึงบางสิ่งบางอย่างทำตอบสนองกลับมา ที่มาสั่นไหวลึกในกลางอกอย่างสัมผัสว่านี่มันไม่ใช่สิ่งที่อุปทานขึ้นมาเอง
ในช่วงสุดท้ายของงานเป็นการรวมตัวกันทำพิธีปิด เราเข้าไปสัมพันธ์กับ shrine แต่ละแห่งในงาน ไปแสดงความเคารพ และขอบคุณจากหัวใจ ช่วงเวลานี้ในงานเป็นช่วงที่ท้วมท้นอย่างไร้ภาษาจะอธิบาย การที่เราได้ใช้เวลาอยู่ในมณฑลศักดิ์สิทธิ์นี้เป็นระยะเวลานึงด้วยใจที่เปิดกว้างของเราและสายสัมพันธ์ที่สร้างไว้กับโลกธรรมชาติ มันทำให้เรามีประสบการณ์ที่งดงามกับโลกแห่งปรากฎการณ์ ราวกับว่าสายลม แสง กระแสน้ำกำลังเต้นรำในจังหวะเดียวกันเรา ทุกอย่างช่างสอดคล้อง ประจบเหมาะ ไม่ว่าเป็นสิ่งดีๆ หรือสิ่งที่มาทดสอบเรา ทั้งหมดนั้นคือของขวัญที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์มอบให้แก่เจตจำนงของเรา และเมื่อเราอยู่กับความเข้มข้นของสถานการณ์นี้ได้จนถึงพิธี เขาก็รออยู่ตรงนั้น ปรากฎกาย ตอบรับ ให้ความรัก และมอบ blessing อันยิ่งใหญ่ไร้ขอบเขตแก่จิตวิญญาณของเรา น้ำตาหลั่งไหลลงพื้นดินจากความรู้สึกตื้นตันท้วมท้นที่ไม่อาจจะให้ความคิดตรรกะหรือแม้กระทั่งภาษามาอธิบายได้หมด แต่เรารับรู้ร่วมกันได้ด้วยจิตวิญญาณ
(4)
Magic is happening = วื้อ
ชาว Sacred Mountain จะมีศัพท์บัญญัติใช้ร่วมกัน เข้าใจตรงกันคำหนึ่ง คือคำว่า “วื้อ” ไว้ใช้ในสถานการณ์ที่มันพ้นจากความเคยชินเดิมๆ หรือโลกเดิมๆ ที่เราอยู่ ว่าง่ายๆ คือพวกแมจิคโมเม้นต์ต่างๆ เช่น “โห… ตอนพี่อันทำพิธีนี่พาทุกคนวื้อไปหมดเลย” หรือ “รอบนี้จารตุลมาวื้อสุด เป็นชามันไปเลยเว้ย”
เอาจริงๆ พิธีกรรม หรือ shrine ต่างๆ ในงาน Sacred Mountain มันเหมือนเป็นสนามเด็กเล่นที่ชวนเพื่อนๆ ในนั้นมาเล่นสมมติ มา เรามาเล่นเดินเขาวงกดกันเถอะ มา เรามาทำเสียงกลอง ท่องบทเพื่อที่จะพูดกับแม่ต้นไม้กันดีกว่า มา เราลองไปนั่งคุยกับสายน้ำสองต่อสอง ดูซิเขาจะพูดอะไรกับเราบ้าง มา เราไปทำความรู้จักกับเพื่อนกลุ่มใหม่กันดีกว่า ดูซิว่าเราจะเล่นอะไรด้วยกันได้บ้าง มา เราไปตักข้าวแล้วมานั่งล้อมวงกินด้วยกันดีกว่า
สนามเด็กเล่นจิตวิญญาณแห่งนี้เป็นพื้นที่อันเปิดกว้าง ปลอดภัย ผ่อนคลาย สนุกสนาน มีชีวิตชีวา และตื่นรู้ สายตาจับผิดหรือคำพูดตัดสินนั้นแทบจะไม่มีกระทบใคร ในสภาวะที่เปิดกันสุดๆ ขนาดนี้ ทุกความเป็นไปได้ก็พร้อมจะเกิดขึ้นทั้งในตัวคนๆ เดียว กลุ่มเล็กๆ หรือกระทั่งคนทั้งงาน การเล่นเหมือนเด็กสามารถนำพาสู่ความเป็นไปได้ใหม่ ประสบการณ์ใหม่ ที่ไม่มีชุดคำอธิบายเดิมๆ มาใช้ได้ ถึงเป็นสาเหตุที่ชาว sacred mountain กลับไปจากงานก็ไม่รู้จะเล่าให้คนฟังยังไง เอ๊ะ หรือนี่เลยทำให้ชุมชนในอุดมคติแห่งนี้เหนียวแน่น จับมือ กอดคอ แลกเปลี่ยนประสบการณ์แก่กันไม่รู้คลาย
ในมณฑลที่เปิดกว้าง (มากกก) ด้วยพลังของพื้นที่และจิตใจของทุกคนที่มา ความเป็นไปได้ทั้งหลายก็ออกมาเผยตัวให้เห็น magic ทั้งหลายจึงเกิดขึ้นมากมายราวกับดวงดาวบนท้องฟ้า ช่วงเวลาที่เราได้สัมพันธ์กับ reality ที่มีชีวิต ความเป็นจริงที่ไปพ้นจากขอบแข็งๆ ของความเคยชินเดิมๆ เราเปิดใจ เปิดผัสสะ เปิดรับปรากฎการณ์ และหลอมรวมตัวเองเข้ากับโลกธรรมชาติ ชาว Sacred Mountain ล้วนได้รับประสบการณ์ของความเป็นจริงใหม่ๆ สลักฝังในความทรงจำกลับบ้านกันไปถ้วนหน้า
(5)
“Life is an offering”
ธีมงานปีนี้ใหญ่และหนักอึ้งกว่าที่คิดไว้…มาก
ในความหมายของการอุทิศชีวิตนี้ เส้นทางจิตวิญญาณคือการทำงานกับตัวตน ทำงานกับสถานการณ์และผู้คน เพื่อที่จะมุ่งสู่เป้าหมายที่ใหญ่ไปกว่าตัวเรา ดังนั้นแต่ละสิ่งที่กำลังสัมพันธ์ด้วยในทางจิตวิญญาณ เราไม่ได้ทำเพื่อสนองอัตตาตัวตนของเรา ไม่ได้ทำเพื่อให้ได้รับการยอมรับ เพื่อชื่อเสียงเงินทอง หรือเพื่อมีอำนาจ แต่มันคือมิติของการทำงานภายในเพื่อสิ่งที่ใหญ่ไปกว่าตัวเรา เพื่อเข้าถึงความดีพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ เพื่ออ่อนน้อม รับใช้ และเป็นภาชนะที่ส่งต่อความดีพื้นฐานนั้นไปยังผู้อื่น
ชีวิตคือการอุทิศให้แก่สิ่งที่ใหญ่กว่าตัวเรา นอบนอบ เคารพ รับใช้
ในงานเทศกาลที่ทีมงานมนุษย์ทำครึ่งนึง อีกครึ่งขอให้โลกอีกฟากช่วยสนับสนุนด้วย เพื่อที่จะสร้างมณฑลที่ยิ่งใหญ่อย่างนี้ขึ้น ฟากมนุษย์สองขาก็ทำงานกันอย่างหนัก เกือบจะรับกันไม่ไหว ร่วมกันเทสิ่งที่ตัวเองมีออกมา อุทิศการทำงานรับใช้โลกศักดิ์สิทธิ์ “keep offering” ละจากเสียงความคิด ละจากการอธิบายตัวเอง ละจากความเหน็ดเหนื่อย และเมื่อผู้คนในงานเข้ามา ก็มาร่วมในท่าทีของการ offering นี้เช่นกัน จนในที่สุดงาน Sacred Mountain 2023 ก็เป็นผลแห่งการ offering และ co- creation ที่งดงามที่สุดที่จะเป็นได้
การร่วมสร้างอะไรบางอย่างกับโลกที่ใหญ่กว่าเรา เป็นการฝึกตนขั้นสุดยอด เพราะตัวตนแคบๆ ที่มีขอบชัดเจนไม่อาจจะปล่อยให้พลังที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวเองไหลผ่านสู่การเป็นเทศกาลแห่งเวทมนตร์เช่นนี้ได้ ทุกคนต้องทำงานกับตัวเอง ทำงานกับการตัดสิน ความคิดหยุมหยิมที่ผุดขึ้นมากมาย และมอบกาย ใจ และความสามารถที่มี เมื่อถึงขอบก็เทออก กระโจนออก ก้าวข้ามไปเรื่อยๆ สู่ความไม่รู้ เชื่อมสัมพันธ์กับ bigger space ศิโรราบต่อพื้นที่ว่างที่อะไรจะเกิดขึ้นก็ได้
(5)
ในดินแดนเวทมนตร์แห่งนี้ ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนเป็นเวทมนตร์ ประจวบเหมาะ งดงาม ร่าเริง มีชีวิต
ด้วยหัวใจที่เปิดกว้าง เรากล้าที่จะเปราะบาง กล้าที่จะแบ่งปันความเศร้า กล้าจะปล่อยให้น้ำตาไหลอาบแก้ม เราพร้อมจะทิ้งตัวในอ้อมกอดเพื่อนข้างๆ ในเวลาเดียวกันแขนเราก็อ้ากว้างพร้อมจะรับความทุกข์ผู้อื่นด้วยความเข้าใจที่ไม่ตัดสินกัน ในความเปิดกว้างนี้ สายสัมพันธ์อันบริสุทธิ์งดงาม ความรัก ความเมตตา Empathy เกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติในเนื้อในตัวทุกๆ คน ราวกับนั่นคือพื้นฐานแห่งความเป็นมนุษย์ของทุกคน และเราสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างงดงามในความเปิดกว้างนี้
ความรู้สึกขอบคุณ ตื้นตันในความรักแห่งสายสัมพันธ์เอ่อล้นในใจทุกคนจนไม่อาจพูดออกมาได้ทั้งหมด และในวันสุดท้ายของงานเราก็ได้ถ่ายทอดความรู้สึกนี้ด้วยอ้อมกอดแก่กันและกัน
เวทมนตร์จึงเกิดขึ้น.. จากความเชื่อมโยงนั้น จากความรู้สึกในจิตวิญญาณว่าเราไม่แยกขาดจากเพื่อนมนุษย์ จากโลกธรรมชาติ และจากความศักดิ์สิทธิ์
แต่เมื่อสลายมฌฑล เมื่อสิ่งทั้งหลายกลับคืนสู่ความว่าง เมื่อเรากลับไปสู่โลกปกติ เราจะลืมเรื่องราวเหล่านั้น เราอาจจะจำเรื่องราว สิ่งสนุก ตื่นเต้น แต่ไม่ว่าอย่างไร ความสดใหม่ของประสบการณ์ที่ไปพ้นชุดภาษาก็จะถูกเวลาลบเลือนให้จางไป สิ่งที่หลงเหลือไว้ มีเพียงบางสิ่งบางอย่างที่ประทับอยู่ในหัวใจ
ขอให้จำสภาวะแห่งความเปิดกว้าง จำห้วงขณะที่รับรู้ถึงความไม่แยกขาด อย่าลืม แล้วเวทมนตร์ก็จะเผยขึ้นจากความว่าง อีกครั้ง