บทความโดย โคทม อารียา
หนังสือ “วัชรสัจจะ” (The Indestructible Truth) ที่จะขอปริทรรศน์ในบทความนี้ เขียนโดย เรจินัลด์ เรย์ โดยมีชื่อรองว่า “จิตวิญญาณอันรุ่มรวยมีชีวิตของพุทธศาสนาทิเบต” ผู้แปลคือ วิจักขณ์ พานิช, รวมพร ศิระธนาพันธ์, และ คณพล วงศ์วิเศษไพบูลย์ จัดพิมพ์โดยวัชรสิทธา
เรย์เขียนไว้ในบทนำว่า “พุทธศาสนาทิเบตยังคงรักษาประสบการณ์ที่เรียบง่ายและแข็งแรงของความดั้งเดิมไว้เป็นรากฐานทางจิตวิญญาณ … ในยุคสมัยปัจจุบันที่ปั่นป่วนและท้าทาย ถ้าเราไม่สามารถค้นพบพื้นฐานความเป็นมนุษย์ (หรือธรรมชาติเดิมแท้ – ผู้เขียน) ของเราได้ มันอาจไม่มีความหวังมากนักที่จะก้าวต่อไปข้างหน้า … เพื่อที่จะเรียนรู้ เราต้องยินดีที่จะเปิดเผยตัวตนของเรา และเสี่ยงที่จะเปลี่ยนแปลง อย่างที่ชาวทิเบตผู้ผ่านความทุกข์ยากและเปี่ยมน้ำใจยิ่ง ได้แสดงผ่านตัวตนของพวกเขา ทั้งในฐานะตัวตนเพื่อการเรียนรู้ และในฐานะกัลยาณมิตร” จึงหวังว่าบทปริทรรศน์สั้น ๆ นี้ จะเป็นการแสดงความขอบคุณ ต่อ เรจินัลด์ เรย์ และชาวทิเบตผู้เปี่ยมน้ำใจทุกคน ที่ชี้ทางการเปิดเผยตัวตนของเรา
ในโลกสมัยใหม่ที่เทคโนโลยี, ข้อมูล, และวัตถุนิยม เข้าสู่ระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน บางคนอาจมองพุทธศาสนาทิเบตว่าคร่ำครึ ตกยุค แต่มุมมองนี้คลาดเคลื่อน เพราะศาสนาพุทธทิเบตกล่าวถึงเรื่องพื้นฐานที่สุด คือความทุกข์และความแปลกแยกของมนุษย์ และวิธีที่จะก้าวพ้นสิ่งเหล่านี้ร่วมกันด้วยความรักและความกรุณา อำนาจที่มากขึ้นไม่ว่าจะเป็นทางเทคโนโลยี เศรษฐกิจ การเมือง และการทหาร ได้นำมาซึ่งความก้าวร้าว และพาเรามาสู่ขอบของหายนะ บางทีอาจยกเว้นผู้ร่ำรวยและผู้โชคดีกลุ่มเล็ก ๆ แต่คนส่วนมากอยู่ในความทุกข์ที่คนรุ่นก่อน ๆ ไม่อาจจินตนาการได้
ภาคแรกของหนังสือกล่าวถึงมุมมองทิเบตดั้งเดิมเกี่ยวกับจักรวาล ซึ่งประกอบด้วยโลกทั้งที่มองเห็นและมองไม่เห็น คนสมัยใหม่ปฏิเสธการมีอยู่ของโลกที่มองไม่เห็น เรย์ตั้งคำถามว่า แต่ถ้าหากจักรวาลนั้นมีชีวิต และอยู่นอกเหนือจากการรับรู้ของเรา ผลที่ตามมาคืออะไรหากเราไม่สามารถรับรู้โลกเหล่านั้นได้
ภาคที่สองเล่าประวัติศาสตร์พุทธศาสนาในทิเบต เริ่มจากอินเดียมาจนถึงยุคปัจจุบัน และเน้นไปที่ผู้ปฏิบัติที่ทุ่มเทชีวิตและพยายามในการก่อเกิดสายธรรม ที่สืบเนื่องกันมาจากรุ่นสู่รุ่น เช่น เรื่องเล่าชีวิตของมิลาเรปะ ที่เริ่มต้นจากความสิ้นหวัง, ค้นพบแรงบันดาลใจ, พากเพียรบนเส้นทางหฤโหด เพื่อการเข้าใจตนเองอย่างลึกซึ้ง เรื่องเล่าเช่นนี้จะดลใจให้เราเห็นแผนที่เดินทางที่อยู่ข้างในเราได้หรือไม่
ภาคสามอธิบายเส้นทางพุทธธรรมพื้นฐาน ประกอบด้วย คำสอนหลัก, การปฏิบัติ, และผลลัพธ์ โดยมีเป้าหมายเป็นการปลดปล่อยโลกทั้งโลก ภาคนี้ยังชี้เห็นเส้นทางที่ชัดเจนและปฏิบัติตามได้อย่างเป็นขั้นตอน ซึ่งจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงภายในอันสมบูรณ์ ในโลกสมัยใหม่ เราถูกสอนให้ค้นหาสิ่งนอกกายเพื่อเติมเต็ม ขณะนี้ เรากำลังเผชิญกับลัทธิบริโภคนิยม ที่ชวนให้ลดทอนคนที่เราเป็น และทิ้งทรัพยากรที่เรามีอยู่ภายใน แล้วไปหาสิ่งเติมเต็มจากภายนอก
ภาคสี่ให้รายละเอียดทรรศนะในพุทธศาสนาทิเบตของการหมุนกงล้อธรรมทั้งสามครั้ง ที่แสดงว่าโลกและความจริงไม่ได้เป็นแบบใดแบบหนึ่ง แต่ขึ้นอยู่กับระดับการเติบโตทางจิตวิญญาณ และความละเอียดแหลมคมในการรับรู้ของเรา ในมุมหนึ่ง เราเห็นว่าชีวิตเต็มไปด้วยความทุกข์ แต่ในอีกมุมหนึ่ง เราเห็นว่าความเป็นจริงนั้นโปร่งใส สิ่งกีดขวางไม่ได้แข็งทื่อ มีแรงบันดาลใจมากมายให้เราปฏิบัติต่อผู้คนด้วยความรักอย่างไม่เห็นแก่ตัว อาจกล่าวได้ว่า สรรพสิ่งล้วนมีความสดใหม่, ความงาม, และความศักดิ์สิทธิ์ เราสามารถเปลี่ยนแปลงไปเป็นผู้สร้าง แทนการเป็นผู้ทำลายหรือเป็นเหยื่อได้
ขณะนี้ดูเหมือนว่าโลกจะอยู่ในซอยตัน ไปต่อไม่ได้ ยิ่งใส่พลังงานในเทคโนโลยีและการควบคุมมากเท่าไร ยิ่งทำให้ทุกอย่างแย่ลง เราจึงต้องช่วยกันมองทะลุกำแพงและเดินผ่านภูเขาที่วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้เราผ่านไปไม่ได้ เราเห็นจากมนุษยาวิทยาและประวัติศาสตร์ศาสนา ว่าในยุคก่อน เผ่าพันธุ์มนุษย์ค้นพบสติปัญญา, ความสมดุล, และความยั่งยืน ทั้งยังมีวัฒนธรรม คุณค่าทางจิตวิญญาณ และความรู้สึกอย่างลึกซึ้งต่อคุณค่าของชีวิต
ชาวทิเบตได้สืบทอดสายธรรมแห่งปัญญา กรุณา และการรับรู้โลกอย่างตื่นรู้ พุทธศาสนาทิเบตชี้ทางให้เราคืนสู่ธรรมชาติเดิมแท้ แนวทางนี้ควรค่าแก่การเรียนรู้อย่างจริงจัง ในฐานะทรัพยากรของชีวิตและวินัย เพื่อให้เป็นแนวทางที่ดำรงอยู่เพื่อคนรุ่นต่อ ๆ ไปในอนาคต
บทปริทรรศน์บทนี้เป็นเหมือนการสรุปความคิดของเรย์ผู้เป็นธรรมาจารย์พุทธศาสนาทิเบต และเป็นศิษย์ผู้สืบทอดสายธรรมจากเชอร์เกียม ตรุงปะ รินโปเช เรื่องที่จะสรุปในที่นี้คือ “แก่นคำสอนหลัก หินยาน – มหายาน” และ “การหมุนกงล้อพระธรรมสามครั้ง”
ก่อนอื่น เรย์ได้ให้ความกระจ่างในความหมายของคำว่า “หินยาน” กับ “เถรวาท” ดังนี้ บ่อยครั้งในหมู่ผู้คนที่สนใจพุทธศาสนาทิเบต จะมีคนที่เข้าใจว่าพุทธศาสนาเถรวาทคือพุทธศาสนาหินยาน ซึ่งถือว่าเป็นความเข้าใจที่ผิด และจะไม่แปลกใจเลยหากจะมีปฏิกิริยาในทางลบของชาวพุทธเถรวาท เวลาที่ถูกแปะป้ายว่าเป็น “หินยาน”
เราควรมอง “หินยาน” ในฐานะชุดความเข้าใจในเรื่อง ทรรศนะ, การปฏิบัติ, และผลลัพธ์ “เบื้องต้น” ส่วนสายธรรมก่อนมหายานในทางประวัติศาสตร์ เช่น เถรวาท นั้น มีความรุ่มรวยยิ่งกว่า ซับซ้อนยิ่งกว่า และลึกซึ้งยิ่งกว่าที่คำนิยาม “หินยาน” จะมอบให้ได้ ตัวอย่างเช่น พระไตรปิฎกบาลีมีคำสอนที่ว่าด้วยความว่างและความกรุณาอยู่ในนั้น ซึ่งไม่ตรงกับในคำนิยามหินยานแต่อย่างใด สายธรรมเถรวาทมีลักษณะหลายอย่างที่คล้ายคลึงกับวัชรยาน แม้ว่าสายธรรมเถรวาทปัจจุบันมักเป็นแบบวัดวาอาราม แต่ยังมีวิถีผู้สละสู่ป่าหรือพระป่าที่เป็นผู้บรรลุธรรมขั้นสูง เทียบเท่าเหล่าสิทธาในตันตระ ดังนั้น คำว่า “หินยาน” จึงเหมาะสำหรับการอธิบายขั้นตอนเฉพาะ บนเส้นทางของพุทธศาสนาทิเบตเท่านั้น
ทรรศนะหินยาน
พุทธศาสนาทิเบตจะสอนเรื่องข้อเตือนใจสี่ประการเป็นเบื้องต้น ได้แก่
- การเกิดเป็นมนุษย์เป็นสิ่งล้ำค่า
- ความไม่เที่ยง
- กฎแห่งกรรม
- ความบกพร่องของสังสารวัฏ
พุทธทิเบตเชื่อในเรื่องภพภูมิหก ประกอบด้วยสามภพภูมิเบื้องต่ำได้แก่ นรกภูมิ, เปรตภูมิ, และเดรัจฉานภูมิ สิ่งมีชีวิตที่ไปเกิดในภพภูมิต่ำ ล้วนตกอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไร้ความผ่อนคลาย และมีทุกข์ที่สาหัสจนเกินกว่าจะฝึกปฏิบัติทางจิตวิญญาณได้ ส่วนสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในเทวดาภูมิจะมัวเมาในความรื่นรมย์ทางสัมผัส และที่อยู่ในอสุรภูมิก็มัวเมาในพลังอำนาจที่มี ทำให้สิ่งมีชีวิตในภพภูมิเบื้องสูงทั้งสองนี้ ไม่มีการปฏิบัติทางจิตวิญญาณเช่นกัน มนุษย์เท่านั้นที่รู้จักความทุกข์มากพอที่ทำให้อยากสร้างความเปลี่ยนแปลง และไม่สาหัสจนไม่สามารถทำอะไรกับมันได้เลย มีแต่มนุษย์เท่านั้นที่สามารถฝึกปฏิบัติสู่การรู้แจ้ง เราจึงไม่ควรเสียโอกาสนี้ หากควรมีวินัยในการฝึก ถ้าพลาดโอกาสที่เปิดให้แก่มนุษย์เท่านั้นแล้ว เมื่อตายไปก็จะเวียนไปเกิดในภพภูมิไหนอีกนานเท่าไรก็ไม่รู้
นอกจากข้อเตือนใจข้อแรกของมหายานในเรื่องโอกาสทองของการเกิดเป็นมนุษย์แล้ว เรย์ยังอธิบายว่า อีกสามข้อของข้อเตือนใจล้วนตรงกับคำสอนในสองข้อแรกของอริยสัจสี่ ดังนี้ อริยสัจสี่ข้อแรกว่าด้วย “ความจริงแห่งทุกข์” นั้น ตรงกับข้อเตือนใจข้อสองในเรื่องความไม่เที่ยง กับข้อสี่ในเรื่องความบกพร่องของสังสารวัฏ และอริยสัจสี่ข้อสองว่าด้วย “ต้นเหตุแห่งทุกข์” นั้น ตรงกับข้อเตือนใจข้อสามว่าด้วยกฎแห่งกรรม
การปฏิบัติหินยาน
การปฏิบัติของหินยานคืออริยสัจสี่ข้อสี่ ว่าด้วย “หนทางแห่งการดับทุกข์” หรือมรรคมีองค์แปด และผลลัพธ์ของหินยานคืออริยสัจสี่ข้อสาม ว่าด้วย “ความดับทุกข์” หรือนิโรธนั่นเอง บนเส้นทางพุทธศาสนาทิเบต หนทางแห่งการดับทุกข์ประกอบด้วย
1) การมีพระพุทธ, พระธรรม, พระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง (ไตรสรณะ)
2) การมีศีล หรือวินัยแห่งชีวิต
3) การประกอบกุศลกรรม 10 ทางกาย, วาจา, ใจ
4) การบรรลุเป้าหมายของศีลหรือการสร้างความดี ทั้งในระดับ “พื้น” (ground), เส้นทาง, และผลลัพธ์
5) การปฏิบัติภาวนา ทั้งสมถะภาวนา (หรือการภาวนาในความนิ่งสงบและสันติภายใน) และวิปัสสนาภาวนา (หรือการภาวนาเพื่อความเห็นแจ้ง)
ผลลัพธ์หินยาน
พุทธศาสนาทิเบตมองว่า ผู้ฝึกตนบนเส้นทางหินยานจนสุดทาง จะไปถึงจุดหมายที่เรียกว่า
“การหลุดพ้นส่วนบุคคล” ผู้ปฏิบัติจะสัมผัสอิสรภาพจากความทุกข์ของสังสารวัฏ และสันติสุขของนิพพาน ต่อไปจะขอกล่าวถึงคำสอนมหายานโดยย่อ
ทรรศนะมหายาน
แกนหลักของมหายานคือ “เส้นทาง” ในการปฏิบัติเพื่อปลดปล่อยปัญญาและความกรุณาของธรรมชาติพุทธะที่ดำรงอยู่ในตัวเรา ณ จุดหนึ่งเราปรารถนาที่จะลดเกราะกำบังและเขตแดนแห่งตัวตนลง เพื่อแบ่งปัน “น้ำแห่งชีวิต” แก่สรรพสัตว์ที่กำลังทุกข์ทน นี่คือการกำเนิดขึ้นของ “โพธิจิต” หรือหัวใจของการตื่นรู้ แรงดลใจระดับมหายานไม่ใช่การหลุดพ้นของตัวเองอย่างเดียว แต่ต้องการการเข้าถึงการหลุดพ้นเพื่อสรรพสัตว์ทั้งปวง
โพธิจิตมักแบ่งออกเป็นสองด้านคือ โพธิจิตสัมพัทธ์และโพธิจิตสัมบูรณ์ โพธิจิตสัมพัทธ์เริ่มจากการตระหนักถึงความทุกข์ของผู้ที่เรารัก แล้วค่อยขยายสู่ความรักอันเป็นสากล โพธิสัตว์จะค่อย ๆ กำจัดความเห็นแก่ตัว และปลูกฝังจิตใจที่ตอบสนองต่อผู้อื่น
โพธิจิตสัมบูรณ์คือการรับรู้ถึงธรรมชาติอันลวงตาของสรรพสิ่ง ว่าสิ่งที่เรามองเห็นชัดเจนว่ามีตัวตน ไม่ได้เป็นสิ่งนั้นตามที่มันเป็น แต่เป็นแค่ความคิดของเราเกี่ยวกับสิ่งนั้น ธรรมชาติอันลวงตาคือ “ความว่างเปล่า” ของโลกในทรรศนะของเรา แต่ไม่ได้หมายความว่ามันไม่มีอะไรเลย หากเป็นความว่างที่เกินความสามารถของเราที่จะพูดหรือคิดเกี่ยวกับมันได้ ความว่างละลายภาพลวงตา ทำให้เราเห็นความจริงที่ไม่มีแก่นสารหรือเนื้อแท้ที่คิดเอาได้ เพียงแต่สัมผัสได้ด้วยการเดินทางบนเส้นทาง
มหายานพัฒนาคำสอนที่หินยานเริ่มไว้ในเรื่องการสั่งสมบุญและการสั่งสมกุศล การสั่งสมบุญอาศัยการปฏิบัติ “บารมีหก” เป็นต้น (เถรวาทสอนบารมี 10 ส่วนมหายานเลือกเน้นบารมี 6 ได้แก่ ทาน (การให้), ศีล, ขันติ, วิริยะ, ฌาน (สมาธิ), และปัญญา (ความรู้แจ้ง)) ส่วนการสั่งสมกุศลเกิดขึ้นด้วยการปฏิบัติภาวนาเป็นหลัก การสั่งสมบุญและกุศลต้องทำไปด้วยกัน การทำบุญสร้างเงื่อนไขที่เหมาะสมแก่การภาวนา และการภาวนาทำให้ใจเราอ่อนโยนและสร้างปัญญา
การปฏิบัติมหายาน
ปณิธานโพธิสัตว์มีสองด้าน หนึ่งคือการบันดาลใจโดยถือเหล่าโพธิสัตว์เป็นแบบอย่าง สองคือการเข้าร่วม ผ่านพิธีรับศีลโพธิสัตว์ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการผูกมัดตนเองกับปณิธานนี้ การปฏิบัติที่สำคัญที่สุดคือ บารมี 6 บารมีห้าประการแรกอยู่ในความสัมพันธ์ระหว่างผู้กระทำกับผู้ถูกกระทำ ส่วนบารมีที่หก (ปัญญา) คือการตระหนักรู้ที่ไม่มีความเป็นทวิลักษณ์ของผู้กระทำ – ผู้ถูกกระทำ
การปฏิบัติที่ชาวพุทธทิเบตทำเป็นประจำคือการพัฒนา “คุณสมบัติอันไม่มีประมาณทั้งสี่” ได้แก่ความเมตตา (ไมตรี), ความกรุณา, ความยินดีแก่ผู้อื่น (มุทิตา), และความวางใจต่อสรรพสัตว์ทั้งปวง (อุเบกขา) ซึ่งตรงกับคำสอนในเรื่องพรหมวิหารสี่ของเถรวาทนั่นเอง และยังมีการปฏิบัติที่ทำเป็นประจำอีกประการหนึ่งคือ “ทองเลน” ซึ่งมีความหมายว่า “ให้และรับ” ให้สิ่งดี ๆ แก่ผู้อื่น และรับเอาความทุกข์ของพวกเขาเอาไว้กับตัวเอง
ผลลัพธ์ของมหายาน
เป้าหมายของเส้นทางมหายานคือการบรรลุโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้า แต่เส้นทางสู่การตื่นรู้โดยสมบูรณ์นั้นทอดยาวเกือบไม่มีจุดสิ้นสุด เคยมีคนถามตรุงปะ รินโปเชว่า “เกิดอะไรขึ้นเมื่อเป็นพุทธะแล้ว” รินโปเชตอบว่า “มันเป็นแค่จุดเริ่มต้น” พุทธศาสนาทิเบตอธิบายความเป็นพุทธะว่ามีสาม “กาย” คือ “นิรมาณกาย” คือการปรากฏของพุทธะในเชิงกายภาพ, “สัมโภคกาย” หรือกายแห่งความรื่นรมย์, และ “ธรรมกาย” หรือกายแห่งความเป็นจริง ที่อยู่เหนือความเป็นกายภาพ เหนือรูปทั้งปวง เรียกได้ว่าเป็นจิตเดิมแท้แห่งพุทธะนั่นเอง
พุทธปรัชญา: การหมุนกงล้อพระธรรมสามครั้ง
พุทธศาสนาทิเบตอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างการศึกษากับการปฏิบัติด้วยคำว่า “ทรังเดิน” หรือความหมายตรงตัว และ “เงเดิน” หรือความหมายที่แท้จริง ทรังเดินเป็นเหมือนกับความคิดของไอศกรีมที่เรามี ส่วนเงเดินคือประสบการณ์การกินไอศกรีมนั้น ทรังเดินเป็นเหมือนภาพถ่ายของคนคนหนึ่ง ส่วนเงเดินคือคนคนนั้น ทรังเดินเป็นเหมือนนิ้วที่ชี้ไปที่ดวงจันทร์ ส่วนเงเดินคือดวงจันทร์นั้นเอง
ในทรรศนะของพุทธศาสนาทิเบต พุทธะศากยมุนีหมุนกงล้อธรรมสามครั้งตลอดช่วงชีวิตของพระองค์ ครั้งที่หนึ่งเป็นคำสอนในขั้นหินยาน (ตามโลกทัศน์ไตรยาน), ครั้งที่สองและสามเป็นคำสอนในขั้นมหายาน
พุทธปรัชญา: การหมุนกงล้อพระธรรมครั้งที่หนึ่ง
การหมุนกงล้อครั้งที่หนึ่งเป็นคำสอนแก่ศิษย์กลุ่มแรก ซึ่งได้แก่เหล่าปัญจวัคคีย์ ที่สอน ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ในพุทธทิเบต คำสอนเรื่องความทุกข์ถูกนำเสนอในรูปของข้อเตือนใจสี่ประการดังที่ได้กล่าวแล้ว คำสอนที่เรียกว่าการหมุนกงล้อครั้งที่หนึ่งนั้น ตรงไปตรงมาและเป็นระบบมากที่สุด โดยลงรายละเอียดในเรื่องความไม่มีตัวตน กฎแห่งกรรม และการตรัสรู้ รวมเรียกว่า “อภิธรรม” อภิธรรมเป็นชุดคำสอนที่สำคัญมากในการเรียนการสอนของวิทยาลัยสงฆ์ในทิเบต อภิธรรมได้อธิบายความแตกต่างระหว่างสภาวะธรรมที่มีเงื่อนไขหรือสังสารวัฏ กับสภาวะธรรมที่ไม่มีเงื่อนไขหรือนิพพาน เป้าหมายของเส้นทางคือการดับแห่งสังสารวัฏ หรือนิพพาน
อภิธรรมจัดกลุ่มของสภาวะธรรมออกเป็นหลายรูปแบบ เพื่อเสริมความเข้าใจในเรื่องการไม่มีตัวตน (อนัตตา) รูปแบบหนึ่งอันเป็นที่รู้จักกันแพร่หลายคือคำสอนเรื่องขันธ์ 5 อีกรูปแบบหนึ่งคือคำสอนเรื่องปฏิจจสมุปบาท นอกจากนี้ยังมีคำสอนในเรื่องอายตนะ, ปัจจยาการ, เจตสิก เป็นต้น ชาวพุทธทิเบตได้ใช้นิทานบอกเล่า หรือนิทานภาพ หรือนิทาน 12 เพื่อเสริมความเข้าใจในเรื่อง “ปฏิจจสมุปบาท” ซึ่งขอนำมาเล่าโดยสังเขป ดังนี้
นิทาน 1 และ 2 กล่าวถึงอดีตชาติ และความสัมพันธ์ระหว่างอดีตชาติกับปัจจุบันชาติ ประกอบด้วย (1) ความไม่รู้หรืออวิชชาในอริยสัจสี่ และการยึดมั่นว่าขันธ์ 5 คือตัวตน ภาพของนิทานคือหญิงชราผู้ตาบอด (2) การปรุงแต่งกรรม หรือสังขาร ภาพของนิทานคือช่างปั้นหม้อและแป้นหมุน
นิทาน 3 ถึง 7 กล่าวถึงผลกรรมในปัจจุบัน ประกอบด้วย (3) วิญญาณที่เกิดใหม่ มีภาพเป็นลิงที่ว่องไวและเฉลียวฉลาดของวิญญาณนั้น (4) รูปและนามของขันธ์ 5 อันเป็นปัจจัยของการเกิดใหม่ มีภาพเป็นนายเรือ (วิญญาณ) และฝีพายทั้ง 4 (หมายถึงขันธ์ที่เหลือ) (5) อวัยวะสัมผัสทั้ง 6 คือ หู ตา จมูก ลิ้น กาย และใจ มีภาพเป็นบ้านที่มีหน้าต่าง 6 บานที่ทำให้เข้าถึงโลก (6) การกระทบ (ผัสสะแห่งวัตถุ) มีภาพเป็นการกอดกันของคู่สมรส (7) ความรู้สึก (เวทนา) ผัสสะนำไปสู่ความรู้สึกพอใจ ไม่พอใจ และกลาง ๆ ที่แสดงถึงผลของกรรมในอดีตอันหลีกเลี่ยงมิได้ มีภาพเป็นชายผู้มีลูกศรแทงทะลุดวงตา ซึ่งเป็นสมบัติแห่งความทะลุทะลวงของความรู้สึก เมื่อมาถึงตรงนี้ เราเลือกได้ที่จะไปหรือไม่ไปต่อ การหยุดอยู่ที่เวทนาหมายถึงการไม่ก่อกรรมใหม่
นิทาน 8 ถึง 10 เล่าถึงการสร้างกรรม – เหตุ – ปัจจุบัน (8) ความอยาก (ตัณหา) ถ้าเวทนาเป็นบวก เราก็อยากครอบครอง เป็นลบก็อยากกำจัด ความอยากมิได้ติดตัวเรามา (ไม่เหมือนนิทาน 3 ถึง 7) หากแต่เราสร้างขึ้นเพื่อเห็นแก่อัตตา หรือเพื่อปกป้องตัวเอง มีภาพเป็นชายผู้ดื่มนมและน้ำผึ้ง (9) ความยึดมั่น (อุปาทาน) ความอยากเป็นสภาวะจิตที่ไม่เกี่ยวข้องกับการกระทำ ความพยายามยึดติดทำให้ความอยากเปลี่ยนไปสู่การกระทำ มีภาพเป็นคนเก็บผลไม้ ที่พยายามครอบครองวัตถุที่ปรารถนา (10) ความเป็น (ภพ หรือ being) ความยึดมั่นถือมั่นมาถึงจุดที่เกิดการมีตัวตนของเราอย่างชัดเจน คือมีเจตนาในการสร้างกรรมใหม่ มีภาพเป็นหญิงอุ้มท้อง ความอยากและความยึดมั่นมีผลเป็นการสร้างชีวิตใหม่
นิทาน 11 ละ 12 กล่าวถึงอนาคตชาติ – ชาติภพหน้า (11) การเกิดใหม่ (ชาติ) ถ้าไม่พักอยู่ในช่องว่างระหว่างความรู้สึกกับความอยาก (ระหว่างนิทาน (7) กับ (8)) เราก็ดำเนินต่อไปถึงการเกิดกรรมใหม่ มีภาพเป็นหญิงผู้ให้กำเนิดบุตร (12) ความชราและความตาย สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้หลังการเกิดคือความชราและความตาย ชาติภพหน้าสรุปได้ด้วยการเกิด การแก่ และความตาย มีภาพเป็นซากศพ
พุทธปรัชญา: การหมุนกงล้อพระธรรมครั้งที่สอง
ณ ยอดเขาคิชกูฏ ใกล้เมืองราชคฤห์ พุทธะได้เผยโพธิสัตวปิฎก อันเป็นสัจธรรมที่ไม่อาจใช้ความคิดทำความเข้าใจหรือใช้คำพูดสื่อสารได้ ที่บ่งชี้ว่า สรรพสิ่งล้วนปราศจากตัวตนที่ตายตัว เนื้อหาของการหมุนกงล้อครั้งที่สองคือความว่าง นอกจากความว่างระดับบุคคลในตัวตนหรืออัตตา ดังแสดงไว้ในสัจธรรมของการหมุนกงล้อครั้งที่หนึ่งแล้ว ยังมีความไม่มีตัวตนของธรรมทั้งปวงด้วย สังสารวัฏและนิพพานไม่ใช่อื่นใดเลยนอกจากการแปะป้ายทางความคิด ต่อความจริงที่ไม่อาจอธิบาย และไปพ้นจากกรอบคิดใด ๆ ไม่มีสิ่งใดต้องปฏิเสธ และไม่มีสิ่งใดต้องบรรลุ อิสรภาพนี้จะเปิดประตูให้ความกรุณาไหลออกมาสู่ทุกชีวิตและทุกคน
คำสอนที่เขาคิชกูฏบันทึกอยู่ใน “ปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร” อันเป็นคัมภีร์หลักของมหายาน นอกจากนี้ยังมีคัมภีร์ในระดับอรรถกถาอีกมากมายในสายธรรมต่าง ๆ ของมหายาน ที่สำคัญ เช่น มูลมัธยมกการิกา ประพันธ์โดยนาคารชุน โพธิจรฺยาวตาร ประพันธ์โดยศานติเทวะ นาคารชุนเป็นผู้ก่อตั้งสำนักมาธยมิกะ ซึ่งเป็นสายธรรมทางสายกลาง ที่สอนให้ตระหนักถึงธรรมชาติที่สัมพันธ์และพึ่งพาอาศัยกันของทุกสิ่ง สายธรรมมาธยมิกะเป็นสายธรรมหลักสายหนึ่งที่แพร่มาถึงทิเบต
พุทธปรัชญา: การหมุนกงล้อพระธรรมครั้งที่สาม
ก่อนการปรินิพพานของพระพุทธเจ้าไม่นาน พระองค์ได้ประทานคำสอนที่เป็นเหมือนการหมุนกงล้อพระธรรมครั้งที่สามแก่โพธิสัตว์ หลังจากที่ได้วางรากฐานของทรรศนะ เส้นทาง และผลลัพธ์ไว้ดีแล้ว พระองค์จึงเผยความจริงอันเป็นแก่นแท้แห่งตถาคต (ตถาคตครรภ์) ว่าธรรมชาติประกอบด้วยธรรมชาติจินตกรรม, ธรรมชาติการอิงอาศัย, และธรรมชาติปรมัตถ์
คำสอนในการหมุนกงล้อธรรมครั้งแรกคืออริยสัจสี่ ครั้งที่สองคือ “ปรากฏการณ์ล้วนว่างจากตัวตน” ครั้งที่สามคือ “ความจริงอันไม่อาจอธิบายได้” แต่กระนั้น เรายังพอตั้งคำถามที่ย้อนแย้ง ที่พอจะชี้หรือสร้างอุปมาเปรียบเทียบได้ การหมุนกงล้อครั้งที่สองมีท่าทีนิเสธ ซึ่งอาจทำให้เข้าใจว่า ความจริงคือความว่างเปล่าที่ไม่มีอะไรเลย ทำให้หลงคิดไปว่าเป็นมุมมองสุญญนิยม ว่าไม่มีสิ่งใดจริงแท้เลย การหมุนกงล้อครั้งที่สามจึงกระตุ้นให้เราสนใจว่า “มีอะไรที่หลงเหลืออยู่ในความว่าง”
สายธรรมอรรถกถาในการหมุนกงล้อครั้งที่สามมีอยู่ในสำนักโยคาจารที่ก่อตั้งโดยอสังคะ พระสูตรที่เป็นรากฐานของสำนักนี้คือ สันตินิรโมจนสูตรที่สอนเรื่องธรรมชาติสาม ได้แก่ (1) ธรรมชาติจินตกรรม คือตัวตนที่เราปรุงแต่งให้แก่ปรากฏการณ์ คือมุมมองที่เราปรุงแต่งขึ้นเพื่อเสริมความมั่นคงปลอดภัยให้แก่อัตตา (2) ธรรมชาติอิงอาศัย คือโลกแห่งเหตุและปัจจัยที่พุทธะศากยมุนีได้ค้นพบในคืนแห่งการตรัสรู้ ธรรมชาตินี้คือสิ่งที่อุบัติขึ้นในประสบการณ์ ก่อนที่จะเกิดการแปะป้ายทางความคิด หรือก่อนที่จะเกิดการปรุงแต่งตัวตนขึ้น (3) ธรรมชาติปรมัตถ์ หมายถึงปัญญาญาณของธรรมชาติแห่งพุทธะ ที่ปราศจากการปรุงแต่งทางความคิดใด ๆ ธรรมชาติอันสมบูรณ์นี้มีชื่อเรียกอีกว่า “ธรรมตา” ซึ่งเป็นสิ่งที่คนทั่วไปไม่รู้อะไรเกี่ยวกับมันเลย
กล่าวโดยสรุปเกี่ยวกับอรรถกาของสำนักโยคาจารว่าด้วยความว่าง: ความว่างมีสามประเภทคือ ว่างของสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง (ว่างจากธรรมชาติจินตกรรม) ว่างของสิ่งที่ดำรงอยู่อย่างอิงอาศัยกัน และว่างอันเป็นปัญญาญาณที่ไม่อาจแยกขาดจากความกรุณาและพลังอำนาจ
ขอลงท้ายด้วยข้อเขียนของศานติเทวะ ที่ให้อรรถาธิบายแก่ความกรุณาดังนี้ “ข้าฯควรกำจัดความทุกข์ของผู้อื่นด้วยเหตุที่ความทุกข์นั้นก็เหมือนกับความทุกข์ของข้าฯเอง ข้าฯควรดูแลผู้อื่น เพราะว่าพวกเขาเป็นสัตว์โลก เช่นเดียวกับที่ข้าฯเป็นสัตว์โลกเหมือนกัน เมื่อความสุขเป็นที่น่ายินดีแก่ผู้อื่นและตัวข้าฯเอง แล้วมีอะไรที่พิเศษเกี่ยวกับตัวข้าฯ ที่ข้าฯจะพึงหาความสุขแก่ตัวข้าฯเองเพียงคนเดียว”
* ผู้ที่อยากได้หนังสือเล่มนี้ ขอเชิญร่วมบริจาค ผ่านทางลิงค์ https://forms.gle/ViCjDgwfqvNggtFg8
เพื่อสร้างวัดฆราวาสแห่งใหม่บนเกาะพะงัน สุราษฎร์ธานี บริจาคขั้นต่ำ 999.99 บาท (ช่วยทิ้งเศษ.99 ไว้จะได้รู้ว่าอยากได้หนังสือ) สามารถติดต่อผ่านเพจเฟซบุค fb.com/vajrasiddha
