บทความโดย THANYA วัชรสิทธา
ในโลกที่สิ่งต่างๆ รอบตัวเปลี่ยนแปลงทุกขณะ เทคโนโลยี ค่านิยม คุณค่า ความเชื่อ กระแสโลกพัดพาเราให้ไหลไปเรื่อยๆ จนหัวหมุน ไร้ที่มั่นคงให้ยึดเหนี่ยว เราไม่ใช่ผู้ที่สามารถควบคุมชีวิตตัวเองได้อีกต่อไป โคลงไปเคลงมาอยู่ในกระแสการเปลี่ยนแปลงนั้น บางครั้งเรารู้สึกไม่มั่นคง บางครั้งเรารู้สึกไร้ซึ่งพลังอำนาจ
ทำยังไงเราจึงจะสามารถกำหนดชีวิตตัวเอง ถือสิทธิอำนาจในการเป็นตัวของตัวเองได้ในโลกที่สับสนวุ่นวายนี้
คำถามนี้อาจตอบได้ในหลายมิติ ทั้งมิติทางเศรษฐกิจ การเมือง สุขภาพ หรือทางศาสนา และที่น่าประหลาดใจคือ คำถามนี้สามารถตอบในมิติทางจิตวิญญาณ ดังที่เพิ่งเกิดขึ้นในคอร์ส Magic for Self-care ที่วัชรสิทธาเพิ่งจัดไปเมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อน
อัน อันธิฌา แสงชัย ผู้ประกาศตัวเป็น “แม่มด” อย่างมั่นคงในยุคสมัยที่ทั้งศาสนากระแสหลักและความรู้ทางวิทยาศาสตร์ยึดครองพื้นที่จนแทบไม่เหลือความเป็นไปได้อื่น ต่อให้มี ก็ต้องทำกันอย่างลับๆ จับกลุ่มกันในพื้นที่ส่วนตัว แต่หากใครที่ติดตามอันธิฌา จะเห็นว่าเธอริเริ่ม “วงแม่มด” อย่างเปิดเผยในพื้นที่สว่างที่ทุกคนมองเห็น
เมื่อแม่มดที่ปกติแล้วอยู่แต่ในโลกของหนังสือและเรื่องเล่าโบราณ มาเผยตัวตนอยู่ในโลกเดียวกันกับเรา อยู่ข้างๆ เราในระยะที่เอื้อมมือจับถึง จังหวะนี้เอง เป็นอีกครั้งที่ทำให้ตระหนักได้ว่า โลกนี้ช่างกว้างใหญ่และมีความเป็นไปได้ที่มากมายมหาศาล
ในคอร์ส “เวทมนตร์สำหรับการดูแลตัวเอง” อันธิฌาขนเอาความรู้จากการศึกษาศาสตร์แม่มดแทบจะทั้งหมดมาเล่าให้พวกเราฟัง
หนึ่งในเวทมนตร์ที่เกิดขึ้นในชั้นเรียนครั้งนี้คือ แม้ว่าคอนเซ็ปต์เรื่องแม่มดยุค 5G จะเป็นของใหม่มาก แต่คนในชั้นเรียนฟังไปฟังมา ถึงจุดนึงก็พูดตรงกันว่า “จริงๆ ฉันก็เป็นแม่มดนี่นา”
โลกดำเนินไปอย่าง magical และเราอยู่ใน magic ตลอดเวลา
ก่อนจะไปถึงคำว่า แม่มด เราน่าจะต้องเริ่มคุยกันก่อนว่า “เวทมนตร์คืออะไร?”
ถามสิบคนก็คงได้คำตอบไปสิบแบบ บ้างอาจมาจากภาพจำที่เห็นตามภาพยนตร์ จากนิทานที่อ่านสมัยเด็ก เวทมนตร์คือสิ่งเหนือธรรมชาติ ใช้พลังเพื่อให้เกิดอะไรพิเศษกว่าปกติขึ้นมา เป็นความว้าวที่มนุษย์ทั่วไปทำไม่ได้ ไม่ว่าจะด้วยการร่ายคาถา เสกฟักทองให้เป็นรถม้า หรือปรุงน้ำยาเพื่อวัตถุประสงค์ต่างๆ
หรืออีกแบบหนึ่งที่ใกล้ตัวเข้ามา เวลาเราไปเจอ magic moment ระหว่างการใช้ชีวิตแต่ละวัน เช่นขับรถอยู่บนทางด่วน แล้วจู่ๆ ก็เหลือบตาไปเห็นสายรุ้งทาบทอบนท้องฟ้า นี่ก็นับเป็นจังหวะที่เหมือนได้สัมผัสกับเวทมนตร์ที่เกิดขึ้นในโลกที่เราอยู่
การนิยามเวทมนตร์ของอันธิฌานั้นเรียบง่ายและทรงพลัง
“เวทมนตร์คือความสอดคล้อง (harmony) ของจักรวาล ซึ่งรวมทุกสิ่งทุกอย่าง โลก สรรพสิ่ง มนุษย์ และมันเป็นไปอย่างมีความหมาย มีลำดับ มีทิศทางที่คาดเดาไม่ได้ มีจังหวะของแต่ละสิ่ง (rhythm) และมีเจตจำนง (intention)”
ด้วยการทำงานของสิ่งเหล่านี้ จึงกำหนดความจริงของโลกขึ้นมา ความเป็นไปต่างๆ เกิดขึ้นจากแต่ละส่วนที่ร้อยเรียงกัน สอดประสานกัน สัมพันธ์ถักทอ ดังคำกล่าวที่ว่า ผีเสื้อขยับปีกสะเทือนถึงดวงดาว ดำเนินอยู่ตลอดเวลา สร้างทั้งความเปลี่ยนแปลงและแรงขับเคลื่อนของจักรวาลไปเรื่อยๆ โดยที่เราไม่รู้ตัว แม้ว่าจริงๆ แล้ว เราก็เป็นส่วนหนึ่งของความสอดคล้องนั้นด้วยเช่นกัน
ในคอนเซ็ปต์ของเวทมนตร์ที่ฟังดูง่ายๆ เช่นนี้ ทำไมมันถึงยังไกลตัวเรา นั่นก็เพราะว่า มนุษย์ทุกวันนี้แยกตัวเองออกมาจากโลกที่มีชีวิต แบ่งขอบเขตแข็งทื่อว่านี่คือตัวฉัน โลกข้างนอกก็เป็นแค่ที่อยู่อาศัย เป็นปัจจัยภายนอก เราจึงไม่รับรู้ถึงเวทมนตร์ที่เกิดขึ้น แต่เมื่อไหร่ที่เราเผลอๆ สบตากับโลกธรรมชาติ magic moment แบบสายรุ้งปรากฏ ก็รอให้เราพบเจอได้เสมอๆ
“If you want to find the secrets of the universe, think in terms of energy, frequency and vibration.”
― Nikola Tesla
หากจะอธิบายให้เข้าใจง่ายขึ้น ความสอดคล้อง (harmony) ของจักรวาลนั้นเป็นเรื่องของพลังงานและแรงสั่นสะเทือน แบบที่วิทยาศาสตร์อธิบายว่า อะตอมที่เป็นหน่วยย่อยของสรรพสิ่งก็มีการเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นแม้แต่ก้อนหินคริสตัลแข็งๆ ก็มีแรงสั่นสะเทือน และมีพลังงานของตัวเอง ซึ่งทุกแรงสั่นสะเทือนสอดคล้องกันในจังหวะของตัวเอง เหมือนวงออเคสตร้าที่แต่ละเสียงของเครื่องดนตรีประสานเป็นบทเพลงเดียวกัน
และบทเพลงที่บรรเลงอยู่ตลอดเวลานั่นเอง คือ Magic
แม่มด = ผู้ใช้เวทมนตร์
ตั้งแต่โบราณมา แม่มดคือคนที่เข้าใจเวทมนตร์แห่งความสอดคล้องของจักรวาลนี้ และมีความสามารถที่จะเชื่อมต่อเพื่อสร้างสรรค์อะไรๆ ขึ้นมาด้วยตัวเอง
แต่จะทำเช่นไรล่ะ ในเมื่อเวทมนตร์เป็นสิ่งที่อยู่เหนือไปจากโลกวัตถุ เราจะใช้วิธีการใดในการเข้าไปทำงานกับพลังงานนี้ มันไม่มีหน้าจอ ไม่มีคีย์บอร์ด ไม่มีเม้าส์ที่จับต้องได้ สิ่งที่แม่มดกำลังทำงานกับเวทมนตร์นั้นเหนือไปจากระดับกายภาพ แต่เป็นระดับพลังงานและจิตวิญญาณ
Grounding – ตัวเราคือจุดเริ่มต้นของเวทมนตร์
ก่อนจะเริ่มต้นลงมือร่ายเวทมนตร์ อันธิฌาพาเรากลับมาที่ร่างกาย กลับมารู้จักร่างกายมิติอื่นๆ และกลับมา grounding อยู่กับเนื้อกับตัวด้วยการภาวนา เพราะจุดเริ่มต้นที่สุดของการเชื่อมต่อกับโลกเวทมนตร์ คือ “ภาวะตัวเรา” ทั้งภายนอกและภายใน ดังนั้นการรู้จักตัวเองและรู้ตัวเองจึงเป็นจุดสำคัญที่สุดของการใช้เวทมนตร์
ตัวเราไม่ได้มีเพียงแค่กายหยาบเท่านั้น แต่ยังมีส่วนอื่นๆ อีกมากมายที่เราอาจจะหลงลืมหรือไม่ได้ให้ความสนใจ พอได้มาเรียนกับอันธิฌาในคอร์สนี้ ก็ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นความรู้ใหม่ที่อยู่ภายนอกเลย กลับรู้สึกได้รับการยืนยันถึงธรรมชาติของตัวเราทั้งหมดที่มี
อันธิฌาเล่าว่า เราสามารถแบ่งตัวเองออกเป็นมิติต่างๆ ที่ละเอียดลงไป เริ่มต้นจากทางกายภาพ มิติทางด้านพลังงาน ด้านอารมณ์ ด้านพลังเจตจำนง (will power) พลังจิต หรือ intuition และพลังอำนาจ ซึ่งเราสามารถรับรู้ได้ด้วยความรู้สึก บางคนที่ไวต่อการรับรู้พลังงานก็จะรับรู้ได้ชัด บางคนอาจไม่คุ้นชิน แต่ทั้งหมดนี้มีอยู่แล้วในตัวเรา
ทุกๆส่วนที่ประกอบกันเป็นตัวเราอย่างสอดคล้องกัน และสอดคล้องกับจักรวาล หากเราละเอียดที่จะลงมาสัมพันธ์กับทุกๆ ด้านในตัวเอง เราจะเริ่มรับรู้ถึงความไม่แยกขาดระหว่างตัวเองกับโลก และตระหนักได้ถึงพลังอำนาจภายในของเรา ที่เราเองก็มีสิทธิเลือกเส้นทางชีวิต และสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงได้
เมื่อตั้งต้นที่ตัวเราได้แล้ว ก็มาสู่ขั้นตอนของการสร้างเวทมนตร์ .
Intention สร้างเวทมนตร์ด้วยพลังแห่งเจตจำนง
เมื่อเราเองเป็นส่วนหนึ่งของความสอดคล้องแห่งจักรวาล เราก็สามารถเป็นส่วนที่สร้างความเปลี่ยนแปลงได้ นั่นคือสิ่งที่แม่มดทำ แม่มดใช้พลังอำนาจของตัวเองไปทำงานกับเวทมนตร์กระแสใหญ่นั้น ซึ่งจริงๆ แล้วพิธีกรรมต่างๆ ไม่ว่าจะทางศาสนา หรือของชาวบ้าน ล้วนเป็นการเชื่อมต่อกับพื้นที่อันยิ่งใหญ่ไปกว่าตัวเรา รวมถึงโลกธรรมชาติอันศักดิ์สิทธิ์
จุดสำคัญที่สุด คือ Intention หรือเจตจำนง
ความคิด อารมณ์ และเจตนา ล้วนแต่มีพลังงานและคลื่นความสั่นสะเทือน ดังนั้น intention ของแต่ละบุคคล ก็สามารถส่งแรงขึ้นไปในกระแสของจักรวาล สร้างความเปลี่ยนแปลง กำหนดความจริงใหม่ขึ้นมาได้ เช่น ตั้ง intention ขอให้ให้โปรเจคที่กำลังทำอยู่ราบรื่น และสื่อสารมันออกไปสู่พื้นที่ข้างนอกที่ใหญ่กว่าเรา ให้โลกศักดิ์สิทธิ์ช่วยสนับสนุนเจตจำนงนี้ของเรา
ในชั้นเรียน เราได้ฝึกการตั้งเจตจำนง (Set intention) เพื่อจะสื่อสารกับจักรวาล จริงๆ แล้วจักรวาลได้ยินเสียงความต้องการเราตลอดเวลา แต่โดยทั่วไปมันไม่ได้ชัดเจนหรือเข้มข้นมากพอที่สร้างแรงสั่นสะเทือนพอ ดังนั้นเราจึงมาเรียนรู้ ภาษาของจักรวาล (Universe Language) ที่หลายๆ ศาสตร์เกี่ยวกับจิตวิทยาหรือจิตวิญญาณใช้ คือ Archetype เป็นคำคุณศัพท์ที่มาจากการสะสมมาอย่างยาวนานของมนุษยชาติ เช่นคำพวก ความกล้าหาญ ความงดงาม ความนุ่มนวล ความอบอุ่น พลังอำนาจ
คำเหล่านี้เป็นคำด้านบวกที่เป็นสิ่งสากล (universal) ที่เราทั้งโลกมีร่วมกัน เป็นคำที่จักรวาลเข้าใจและสามารถทำงานด้วยได้ เมื่อเราใช้ภาษาเหล่านี้สื่อสารกับจักรวาล พูดมันด้วยความเชื่อลึกถึงระดับจิตใต้สำนึก เรากำลังสร้างเวทมนตร์ออกมาจากตัวเรา
ส่วนอื่นๆ ที่ปรากฏ คาถา พิธีกรรม เครื่องมือหรือองค์ประกอบอื่นๆ เป็นกระบวนการที่มาส่งเสริม intention ของเราให้ชัดขึ้น ขยายมันออกไปแรงขึ้น เช่นการใช้หินคริสตอลมาเรียงกันเพื่อสร้าง grid ก็เป็นการใช้พลังของหินตามคุณสมบัติต่างๆมาทำงานร่วมกัน intention ที่เราตั้งไว้ ให้ส่งออกไปสู่จักรวาลนั่นเอง หรือทำพิธีขอแฟนด้วยการบอก archetype ที่เราต้องการแก่จักรวาล พิธีกรรมการไหว้ พูดเปล่งเสียงออกมา หรือการจุดธูป ก็ช่วยส่ง intention เราออกไปเช่นกัน เป็นทั้งการยืนยัน และ manifest เจตจำนง
นี่คือการที่เราใช้สิทธิอำนาจของเราเพื่อที่จะกำหนดความจริงด้วยตัวเอง จากการตระหนักว่าเราไม่ได้แยกขาดจากโลกใบนี้ และเราเป็น master of ourselves
Sacred Space พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์
สิ่งสำคัญอีกอย่างสำหรับการใช้เวทมนตร์คือพื้นที่ เป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ ที่เปิดกว้างให้เราปลอดภัยที่จะเป็นอะไรก็ได้ในที่ตรงนั้น
ในศาสตร์แม่มด การสร้างพื้นที่เชิงกายภาพให้เป็นที่ศักดิ์สิทธิ์เป็นสิ่งที่เราเห็นมามากมาย ไม่ว่าจะด้วยการสร้างวงกลม การใช้หินสร้างพลัง การใช้ควันไม้ cleansing สถานที่ การสร้างจินตภาพและเจตจำนงกางอาณาเขตให้แก่พื้นที่
พื้นที่ปลอดภัยนี้จำเป็นอย่างยิ่งในการทำงานระดับจิตวิญญาณ เพราะเรากำลังทำงานกับส่วนที่ลึกและเปราะบาง ดังนั้นการได้อยู่ในพื้นที่ว่างที่ปราศจากการตัดสิน ปราศจากการคุกคามใดๆ ไม่ว่าจะในระดับทำร้ายร่างกาย หรือทำร้ายความรู้สึก พื้นที่นี้จะเชื้อเชิญให้เรากล้าที่จะเป็นอะไรก็ได้อย่างเป็นธรรมชาติ ให้เราสามารถร้องไห้ กรีดร้อง เศร้าสุดใจ หัวเราะ เต้นสุดเหวี่ยง ให้เราสามารถปล่อยทุกสภาวะของตัวเองปรากฎขึ้นมา โอบรับไว้อย่างเป็นมิตร และจากพื้นที่นี้เวทมนตร์ก็จะเกิดขึ้น เมื่อเราสัมพันธ์กับตัวเองและสิ่งต่างๆ ตามที่มันเป็นจริงๆ
การสร้างพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ใครๆก็ทำได้ เราสามารถทำห้องนอนก็ได้ ด้วยการตั้งเจตจำนง และอาจจะใช้อุปกรณ์ช่วยเพื่อที่จะรักษาเจตจำนงนั้นให้อยู่รักษาพื้นที่ไปเรื่อยๆ หรือง่ายไปกว่านั้น เราสามารถให้ตัวเราเองเป็นพื้นที่ปลอดภัยได้ ด้วยการกลับมาอยู่กับปัจจุบัน สัมพันธ์กับความว่างของชั่วขณะนั้น ความว่างที่เราไม่ตัดสินตัวเอง ไม่บังคับให้ตัวเองต้องเป็นอะไร แอบหลบจากโลกวุ่นๆข้างนอก เข้ามาอยู่ในพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ในเนื้อตัว
Doing magic is healing
“ยามใดที่เราต้องการใช้เวทมนตร์ เราจะต้องกลับมาดูแลตัวเอง
ยามใดที่เราดูแลตัวเอง เรากำลังใช้เวทมนตร์”
พี่อันกล่าวเสมอ ว่าสำหรับพี่อันเวทมนตร์คือการดูแลตัวเอง และบทบาทการเป็นแม่มดคือการเยียวยา ทั้งตัวเองและผู้อื่น
ก่อนที่จะเริ่มใช้เวทมนตร์ เราต้องกลับมาดูแลตัวเองให้อยู่ในสภาวะปกติ เป็น sanity เป็นตัวเราที่ว่าง grounded อยู่กับปัจจุบัน ซึ่งนี่เองก็เป็นการใช้เวทมนตร์ในตัวมันเองแล้ว เพราะเรากำลังแปรเปลี่ยนความยุ่งเหยิง ความปั่นป่วน ความมืดดำ อะไรที่ขัดแย้งกันไม่ใช่ปกติของเราคลี่คลายสู่ความสอดคล้องภายในตัว ซึ่งเชื่อมโยงไปสู่จักรวาล
นั่นหมายความว่า ทุกครั้งที่คุณกำลังให้เวลาดูแลตัวเอง ไม่ว่าจะด้วยการอาบน้ำ จัดบ้าน วาดรูป ทำพิธีกรรม หรือกลับมาอยู่กับลมหายใจ ให้มันหลุดจากความปวดหัวกับงาน ความหงุดหงิดจากเพื่อนบ้านเจ้าปัญหา หรือความทุกข์ภายในที่หมักหมมไว้ ตอนนั้นแหละ คุณกำลังใช้เวทมนตร์แล้ว! ยินดีด้วย คุณเองก็เป็นแม่มดเช่นกัน
ในทุกวันนี้ที่โลกภายนอกมันช่างปั่นป่วนแถมยังมีอิทธิพลกับเราเยอะมาก หลายๆครั้งที่เรามักจะปั่นไปกับมัน ความขัดแย้ง ความรุนแรง การกดทับ พลังเหล่านั้นเข้ามากระทบกับจิตใจด้านใน พาให้เราตกอยู่ในห้วงที่สับสนวุ่นวาย
เราดูแลตัวเองได้ ด้วยการกลับเข้ามาอยู่กับตัวเองที่เป็นตัวเราจริงๆ ไม่มีสิ่งใดมาบดบังไว้ กลับมาหาพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์และปลอดภัยภายในตัวเอง กลับมารับรู้ถึงท่วงทำนองอันไพเราะของ Harmony ระหว่างเรา สรรพชีวิต และจักรวาล
เมื่อเวทมนตร์เกิดขึ้นจากการ harmonize ไปกับจักรวาลอันกว้างใหญ่ ความรู้สึกถูกรักและได้รับการสนับสนุนก็จะช่วยเพิ่มพลังภายในให้แก่เราขึ้นเรื่อยๆ มอบความกล้าและความมั่นใจในการสร้างแรงกระเพื่อมด้วยเจตจำนงของเรา มอบพลังต่อการตั้งเจตจำนงให้ไปไกลกว่าการทำเพื่อตัวเอง ถ้าเราฝึกที่จะเชื่อมโยงกับ “เวทมนตร์” แห่งจักรวาลอย่างสม่ำเสมอ และละเอียดกับสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิต เราจะค่อยๆ ตระหนักได้ว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตเรานั้นสอดคล้องกัน เป็นไปอย่างมีความหมาย มีลำดับการ และมีเจตจำนง ถึงจุดหนึ่งเราอาจตระหนักว่า เจตจำนงในการมีชีวิตอยู่ของเราบนโลกใบนี้คืออะไร เราเกิดมาเพื่อทำอะไรให้โลกใบนี้
จงตระหนักว่าเราไม่ได้แยกขาดจากโลกที่ศักดิ์สิทธิ์ แล้วเชื่อในพลังอำนาจและสิทธิที่เรามี ไว้วางใจในเนื้อแท้ที่ปลอดภัยและดีงามของตน
“ทุกอย่างล้วนเป็นไปอย่าง Magical และ เรา เองก็คือส่วนหนึ่งของ Magic”