ตั้ม – ตุล : สหายร่วมรบ ผู้เป็นทั้งครูและเพื่อน (2)

บทสัมภาษณ์โดย ทีมงานวัชรสิทธา


อาจารย์ตั้ม กับ อาจารย์ตุล ทำอะไรด้วยกันเยอะมาก จุดเริ่มต้นของการทำงานทางธรรมร่วมกันเกิดขึ้นตอนไหน?

นอกเหนือจากสลับกันไปสอนในคลาสของอีกคน อ่านบทความ บทสัมภาษณ์ของกันและกัน เราก็เริ่มมาอยู่ในวงเสวนาเดียวกัน ขยับเข้ามาใกล้กันขึ้นเรื่อยๆ

ผมชวนตุลมาที่ “บ้านตีโลปะ” ตุลก็พาท่านแน็กซ์ (เพื่อนสนิทของตุลที่ มช.) มาให้รู้จัก ตุลแนะนำว่าท่านแน็กซ์เป็นนักบวชชินโต (หัวเราะ) ยังจำได้ที่สองคนนี้มาปั้นตอร์ม่าสวยๆ ตอนมาร่วมปฏิบัติสาธนามหามุทราและงานเลี้ยงด้วยกัน ผมปรึกษาท่านแน็กซ์เรื่องทำซับไตเติ้ลหนัง ตอนนั้นอยากแปลซับให้หนัง Crazy Wisdom พอเสร็จก็จัดฉายที่บ้านตีโลปะ แล้วก็มีเสวนากัน ตุลก็มาเป็นหนึ่งในผู้ร่วมเสวนา ผมไปดูตุลประกอบพิธีที่ศิลปากร ตามมันไปที่วัดเทพมณเฑียร ไปเจอ อ.ลลิต ไปม็อบ ไปโน่นไปนี่ด้วยกัน อ่อ.. มีช่วงนึง มันกับแก๊งค์ครัวกากๆ มาขอยืมบ้านถ่ายรายการทำอาหาร 10 ตอน มีแขกรับเชิญเป็นเน็ตไอดอลสาวๆ หน้าตาน่ารักไม่ซ้ำเลย 55

อย่างที่เล่าไปว่าจุดเปลี่ยนสำคัญอันนึง คือการที่ตุลมาเข้าคอร์สเรียนภาวนาที่เสมสิกขาลัย อย่างที่บอกว่าก่อนหน้านั้น มันยังคุยกันเรื่องจิตวิญญาณกันได้ไม่ลึกเท่าไหร่ แต่พอเข้ามาปฏิบัติภาวนา ตุลก็เริ่มมีมิติของประสบการณ์ตรง ความเปราะบาง พื้นที่ที่ไปพ้นขอบเขตของตัวตนมากขึ้น แต่จุดเริ่มต้นของการทำงานร่วมกันจริงๆ ก็น่าจะเป็นที่วัชรสิทธา

บางส่วนของรีวิวคอร์สภาวนา เขียนโดยตุล

วัชรสิทธาเกิดขึ้นมาได้ยังไง?

เกิดขึ้นแบบงงๆ ผมกำลังเริ่มใคร่ครวญกับตัวเองถึงทิศทางที่จะไปต่อ หลังรัฐประหารปี 57 มีช่วงที่ผมจมดิ่งไปกับความเศร้าและท้อแท้ เริ่มไม่สนุกกับการคิด-เขียนเรื่องศาสนากับการเมืองและการวิพากษ์สังคมเหมือนเก่า และเห็นว่ารัฐประหารครั้งนี้จะพาสังคมไทยถอยหลังไป 20 ปีเป็นอย่างน้อย พอการเปลี่ยนแปลงจิตสำนึกทางการเมืองแบบที่เราใฝ่ฝันเห็นไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ง่ายๆ ก็เริ่มตั้งคำถามว่า เราอยากใช้ความสามารถที่เรามีจริงๆ ไปกับเรื่องอะไร

ช่วงปลายปี 2559 ผมสอนคอร์สภาวนาที่เสมสิกขาลัยตามปกติ มีพี่ผู้หญิงคนหนึ่งชื่อ “พี่ขวัญ” มาเรียนด้วย เธอสนใจพุทธมหายาน/วัชรยาน เลยอยากมาลองปฏิบัติดู หลังกิจกรรม เธอส่งข้อความมาหา ชวนผมให้มาดูพื้นที่บนตึกออฟฟิศเก่าของเธอ เผื่อว่าจะได้มาใช้ให้เกิดประโยชน์ ผมไม่เคยเจอข้อเสนอแบบนี้มาก่อน จนถึงปัจจุบัน ก็มีครั้งนั้นครั้งเดียวเลย ถ้าให้พูดจริงๆ ผมว่าพี่ขวัญก็แปลกมาก (หัวเราะ) เธอน่าจะเห็นอะไรบางอย่างในสิ่งที่พวกเราทำ อยากสนับสนุน อยากเห็นมันเติบโต

ตั้ม ตุล แพร์ ที่วัชรสิทธาในปีแรกก่อตั้ง, 2560


ช่วยเล่าช่วงแรกของวัชรสิทธาให้ฟังหน่อย

ตอนนั้นแทบจะยังไม่มีใครเข้าใจเลยว่า “วัชรสิทธา” คืออะไร ทุกอย่างมันค่อยๆ ก่อตัวขึ้น ค่อยๆ ชัดขึ้นระหว่างทาง ตอนแรกที่ไปดูพื้นที่บนชั้น 5 อาคารพงศ์วราภา ก็งงนะ เหมือนพื้นที่มันถูกตระเตรียมไว้ให้เรา เห็นภาพเลยว่า shrine จะอยู่ตรงนี้ ออฟฟิศจะอยู่ตรงนี้ พวกเราโชคดีมากๆ ที่ได้รับโอกาสนี้จากพี่ขวัญ และจากจักรวาล เพราะไม่ใช่ว่าเรามีภาพชัดแต่แรกว่าจะทำอะไร คือแทนที่จะทำโน่นทำนี่ไปเรื่อยๆ แบบกระจัดกระจาย มันมี “ศูนย์” ให้เราได้ลองทำ ผมนิยามวัชรสิทธาว่า “พื้นที่ทดลองทางการศึกษาบนพื้นฐานการภาวนา” ซึ่งก็หมายความตามนั้นเลย

กิจกรรมที่เรามีอันแรกคือ กลุ่มนั่งภาวนาวันอาทิตย์ ที่ย้ายจากบ้านตีโลปะมาใช้ที่นี่แทน จากนั้นก็ค่อยๆ เอาเวิร์คช็อปภาวนาที่ผมสอน มาเปิดที่นี่ จัดวงเสวนาเรื่องนั้นเรื่องนี้ ชวนเพื่อน ชวนครูมาสอน และหนึ่งในนั้นคือ ตุล

ผมในฐานะไดเร็คเตอร์ ก็จะคิดร่วมกับผู้สอนว่าจะทำอะไรด้วยกันดี เช่น คุยกับพี่ณัฐฬส อ่ะโอเค.. เอาเรื่อง myth ไหม พลังอำนาจของเรื่องเล่า ตำนาน คุยกับอาจารย์สุวรรณา อ่ะโอเค… เอาเรื่องอารมณ์ความรู้สึกกับศาสนา ทีนี้พอคุยกับตุล ก็สนใจประสบการณ์ความรู้เกี่ยวกับพิธีกรรมที่เขาร่ำเรียนและฝึกฝนมา ตุลยังมีความรู้ด้านภารตวิทยา ด้านศาสนาพราหมณ์ฮินดู ที่ผมก็สนใจอยากเรียนจากเขาบ้าง พอมีวัชรสิทธา เลยทำให้มีโอกาสให้ได้เรียนรู้จากกัน ให้เพื่อนๆ แต่ละคนได้ทดลองสอน ทดลองถ่ายทอด

ช่วงแรกที่วัชรสิทธา ตุลเขายังไม่ได้สื่อสารเรื่องพิธีกรรมมากนัก ดูเขายังหาจุดลงตัวกับตัวเองไม่ได้ เพราะในฐานะพราหมณ์ผู้ประกอบพิธี เขามีความเคร่งครัดจารีตพิธีกรรมมาก ทุกอย่างจะต้องถูกต้องตามธรรมเนียมเป๊ะๆ ไม่ผิดเพี้ยน ทีนี้พอมาเจอวัชรสิทธา เราเริ่มต้นกันจากศูนย์เลย ไม่ได้ว่าปฏิเสธพิธีกรรม แต่ไม่มีพิธีกรรม (หัวเราะ) ตอนแรกตุลเขาคงงงๆ พอถึงเวลาต้องจัดพิธีอะไร ตุลก็จะจัดเต็ม ซึ่งมันออกจะล้นๆ ไปหน่อยกับพื้นที่แบบวัชรสิทธา ก็เลยมีช่วงเวลาของการปรับจูนกันอยู่พักนึง กับตุลเวอร์ชันวัชรสิทธา ประสบการณ์แรกที่ประทับใจ คือคลาสเรียนอุปนิษัทที่ตุลสอน ประทับใจมาก ตุลเขาเอากฐะอุปนิษัทมาให้อ่าน เป็นเรื่องราวของเด็กชายนจิเกตัสที่กล้าสบตาสนทนากับพระยม (ความตาย)


อาจารย์ตุลสอนที่วัชรสิทธา แตกต่างจากที่สอนในมหาวิทยาลัยไหม?

ผมก็ตอบไม่ได้ เพราะไม่เคยเห็นตุลสอนในมหาวิทยาลัย แต่เดาว่าพื้นที่การเรียนรู้ที่วัชรสิทธามันสร้างความแตกต่างให้กับการสอนของเขา ข้อดีของวัชรสิทธาคือ คนที่มาเรียนมีความกระหายในความรู้ และอยากเรียนจริงๆ แค่นี้มันก็อิมแพ็คผู้สอนและบรรยากาศการเรียนการสอนแล้ว จะสอนสนุกไม่สนุกนั่นอีกเรื่องเลยนะ พื้นที่มีผลต่อผู้สอน มันเอื้อให้เกิดการแลกเปลี่ยน การส่องสะท้อนด้านในที่ลึก แล้วชั่วขณะของ magic moment ก็เกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติในพื้นที่นั้น

อย่างตอนที่ตุลสอนอุปนิษัท ผมรู้สึกเหมือนเวลามันหยุดเดินเลย มันไม่ใช่แค่อ่านอุปนิษัท แต่ตุลทำให้ทุกคนรู้สึกเหมือนตัวเองเป็น นจิเกตัส เราได้ใคร่ครวญกับความตาย เราได้ใคร่ครวญกับการมีชีวิตอยู่ ในฐานะที่อยู่ในห้องเรียนแบบ contemplative education ที่นาโรปะมา ผมว่าตุลเขาเก็ท เขาสามารถจูนกับวิสัยทัศน์ของวัชรสิทธาได้ทันที


อาจารย์ตั้มกับอาจารย์ตุล มาเริ่มประกอบพิธีด้วยกันตอนไหน?

“Sacred Mountain Festival”
งานเซเคร็ดเมาท์เท่นคืออีกขั้นของความสัมพันธ์นี้เลย

ประมาณกลางๆ ปี 2561 ผมไปเที่ยวหาชนินทร์ที่เกาะพะงัน ชนินทร์เป็นเพื่อนรุ่นน้องที่รู้จักกันมานาน เขาไปทำงานเป็นผู้จัดการส่วนสุขภาวะให้กับรีสอร์ทแห่งหนึ่งบนเกาะ ภาคกลางคืนก็จะมีค่ำคืน open mic ชนินทร์เขาก็ทำหน้าที่พิธีกร สร้างไวบ์ให้ผู้คนเอ็นจอยกันและกัน ผมสัมผัสไวบ์นั้นแล้วรู้สึกประทับใจ เลยเกิดไอเดียว่า เราน่าจะจัดงานเฟสติวัลทางจิตวิญญาณ ที่เอาเพื่อนๆ มารวมตัวกัน แล้วเราก็นึกถึง อุ๊ กฤตยา ศรีสรรพกิจ อีกคน เลยได้ทีมสามเกลอผู้ก่อการเซเคร็ดเมาท์เท่นขึ้นมา

อีกคนนึงที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือ พี่อ้วน นิคม พุทธา เพราะนอกจาก ผม อุ๊ ชนินทร์ แล้ว เซเคร็ดเมาท์เท่นยังมีพี่อ้วนเป็นผู้เสนอให้ใช้พื้นที่ด้วย คือผมไปจัดรีทรีทภาวนาปลายปีของสังฆะที่ค่ายเยาวชนเชียงดาวทุกปี แล้วปีนั้น พี่อ้วนบ่นให้ฟังถึงงานชัมบาลา อิน ยัว ฮาร์ท ที่มาขอใช้ค่ายเยาวชนเป็นที่จัดทุกปี ทว่าระยะหลังมีหลายอย่างที่คุมยากขึ้น ไม่ว่าจะเรื่องขยะ เรื่องเสียง เรื่องยาเสพติด ฯลฯ จนในที่สุดพี่อ้วนก็ไม่อนุญาตให้งานชัมบาลาจัดที่ค่ายเยาวชนอีก พี่อ้วนก็มาคุยกับผมว่า จริงๆ มันก็น่าเสียดาย เขาเห็นความตั้งใจดีของคนที่ริเริ่มงานนี้ขึ้นมา แต่พอมันใหญ่ขึ้น ก็รู้สึกว่ามันไปกันไม่ได้กับค่ายเยาวชนฯ พี่อ้วนเล่าให้ฟังเสร็จ ก็เปรยๆ ว่า ตั้มไม่สนใจจัดชัมบาลาในแบบของพวกเราบ้างเหรอ

จริงๆ โดยปกติ ตุลเขาก็มีภารกิจอะไรของเขาเยอะแยะอยู่แล้ว เขามีอาชีพเป็นอาจารย์ประจำ แล้วตอนนั้นเขาเป็นคอลัมนิสต์ให้มติชนสุดสัปดาห์แล้ว เขียนงานต่อเนื่องรายสัปดาห์มันไม่ง่ายเลยนะ แล้วยังมีภรรยา มีครอบครัว มีชีวิตส่วนตัวอะไรของเขาอีก แต่ทีนี้ พอเราได้เริ่มทำงานด้วยกันที่วัชรสิทธา มันเริ่มเกิดสายสัมพันธ์ที่แนบแน่น เราเริ่มจูนกัน เข้าใจกัน พูดภาษาเดียวกัน

ที่นี้งานเซเคร็ดเมาท์เท่นปีแรก มันก็ยังงงๆ ไม่มีใครเคยทำมาก่อน แถมจะมีใครมาบ้างก็ยังไม่รู้ แต่ด้วยความที่เรามาสายศาสนาจิตวิญญาณ เลยไม่ได้คิดกันแบบธุรกิจ ไม่ได้คิดว่าทำยังไงให้งานมันดูน่าสนใจ จะขายได้ไหม เราเริ่มจากความตั้งใจที่จะชวนเพื่อนมารวมตัวกัน เชื่อมกัน แชร์เป้าหมายใหญ่ทางจิตวิญญาณร่วมกัน ทีนี้เราเลือกเชียงดาว เพราะธรรมชาติดี อากาศดี สเปซดี ถ้าใครเคยไปที่ค่ายเยาวชน พื้นที่มันสวยมาก วิวดอยหลวงเชียงดาวยิ่งใหญ่อลังการตรงนั้น เป็นที่มาของชื่อ Sacred Mountain และลึกๆ เราต้องการที่จะสื่อสารถึงมิติความศักดิ์สิทธิ์ที่เชื่อมโยงกันระหว่างมนุษย์ ธรรมชาติ สรรพสัตว์ และสรรพสิ่ง

ทีนี้เลยคิดว่า มันต้องมีพิธีกรรมเป็นพิธีเปิด ต้องตั้งเจตจำนงของงานให้ชัดตั้งแต่แรก แนะนำตัวให้โลกศักดิ์สิทธิ์ได้รู้จัก ก็เลยคุยกับตุล เล่าความตั้งใจอะไรต่างๆ ให้ตุลฟัง

นอกจากดอยหลวงตั้งตระหง่าน ที่ค่ายเยาวชนยังมีสายน้ำไหลผ่านรอบ ที่นั่นยังเป็นศูนย์ในการทำกิจกรรมอนุรักษ์พิทักษ์ผืนป่าต้นน้ำแม่ปิง จู่ๆ ผมก็มีภาพของ “ศาลพญานาค” Naga shrine หรือ water shrine ที่เมืองเครสโตน รัฐโคโลราโด สหรัฐอเมริกา เป็นเหมือน shrine เล็กๆ ที่สร้างไว้ให้คนมาเชื่อมต่อกับจิตวิญญาณของต้นน้ำอันบริสุทธิ์ บูชา สวดภาวนา นั่งเงียบๆ กับตัวเอง เราเลยตัดสินใจจะสร้างศาลพญานาคขึ้นที่ค่ายเยาวชนเชียงดาว มี อ๋อ ปรัชญาภรณ์ช่วยออกแบบ โดยในพิธีเปิดงาน Sacred Mountain Festival ครั้งที่ 1 เราทำพิธีตั้งศาลพญานาคกัน มีตุลกับผมเป็นผู้ทำพิธี และ อ.ประมวล เพ็งจันทร์ เป็นคุรุประธาน



ประสบการณ์ที่ทำพิธีด้วยกันครั้งแรกเป็นอย่างไร

แปลกมาก ด้านหนึ่งก็เก้ๆ กังๆ กันทั้งคู่ แต่อีกด้านหนึ่งก็รู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด ตุลก็ไม่เคยทำพิธีรูปแบบนี้มาก่อน แต่เขาก็ดูโปรและพึ่งพาได้ ผมแค่อธิบายภาพที่ผมต้องการ เจตจำนง อารมณ์ความรู้สึกที่ผมมีต่อสถานการณ์เฉพาะตรงนี้ แล้วตุลเขาก็ออกแบบขั้นตอน รายละเอียดพิธี พร็อพ อุปกรณ์ คอสตูม (หัวเราะ) เว้นให้ผมทำอันนี้ พูดอันนี้ อาจารย์ประมวลพูดอันนี้ ทุกคนร่วมกันทำอันนี้ อย่างน้อยมันมีสิ่งที่จับต้องได้ คือ ศาลพญานาค ซึ่งก็มีความคล้ายกับการตั้งศาลพระภูมิเจ้าที่รูปแบบหนึ่ง แต่ตุลก็ทำให้พิธีมีความหมายลึกซึ้ง เชื่อมโยงกับธรรมชาติ ผู้คน ต้นน้ำ และจิตวิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์ของดอยหลวงเชียงดาว ผลลัพธ์ที่ออกมาก็ทรงพลังและงดงามมากๆ เป็นศาลพญานาคที่ศักดิ์สิทธิ์ เพราะเชื่อมร้อยจิตวิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์ของสรรพขีวิตและสรรพสิ่งเข้าด้วยกัน ด้วยมิติพิธีกรรมที่ตุลดูแลนี่แหละ ทำให้งาน Sacred Mountain มีความพิเศษกว่างานเฟสติวัลอื่นๆ


ประสบการณ์จาก Sacred Mountain Festival ครั้งแรก มีผลกระทบต่อเส้นทางจิตวิญญาณของอาจารย์ตั้มอย่างไรบ้าง

มันพัฒนาความสัมพันธ์เราไปอีกเลเวลนึงเลย เหมือนเราออกมานอก comfort zone ด้วยกันทั้งคู่ แล้วจู่ๆ มันก็คลิก เราเห็นพลังที่มันประสานกัน ทั้งพลังงานของผมกับตุล พลังงานของอุ๊ ชนินทร์ พลังงานของครู และเพื่อนๆ ที่มาเป็น magician ในงาน พลังงานของเด็กๆ ที่วิ่งเล่นอยู่ในงาน พลังงานของนักดนตรี พลังงานของธรรมชาติ ดอยหลวงเชียงดาว ศาลพญานาค โลกศักดิ์สิทธิ์ที่มองไม่เห็นทั้งหมด เป็นประสบการณ์ตรงของคำว่า “co-creation” ซึ่งเป็นอะไรที่ยากจะอธิบาย ได้แต่อุทานว่า “โคตร magic”

แม้ผมจะปฏิบัติพุทธวัชรยานมา แต่สารภาพเลยว่า ก่อนหน้าที่จะทำพิธีกับตุลที่งาน Sacred Mountain ผมก็ยังไม่เก็ทกับมิติความศักดิ์สิทธิ์เท่าไหร่ ในวัชรยาน มีมิติพิธีกรรมที่เข้มข้นมาก ไม่ว่าจะเป็นการมอบเครื่องถวายต่างๆ การสวดมนตรา บทสาธนา เนื้อหาก็เป็นภาษาที่ยากจะเข้าใจ มีพวกสัญลักษณ์ iconography ต่างๆ การใช้เครื่องดนตรี วัชระ ระฆัง กลอง อะไรพวกนี้ ซึ่งตุลเขากล้าดึงสิ่งเหล่านี้ออกมาใช้งาน จากการค้นคว้า ความสนใจจริง และความเชื่อมั่นศรัทธาส่วนตัวของเขา มันเหมือนเล่นๆ แต่ก็จริงจัง หรือเหมือนจริงจัง แต่ก็ดูเล่นๆ แต่กลับกลายเป็นว่า มันมีพลัง ดึงดูด เชื้อเชิญ และตรึงทุกคนตรงนั้นให้มีส่วนร่วมอยู่ในสเปซได้ตั้งแต่ต้นจนจบ เราต่างรู้สึกได้ว่า มีการเชื่อมต่อสื่อสารบางอย่างในระดับที่พ้นไปจากความคิด

หลังจากการทำพิธีด้วยกันครั้งนั้น ความสัมพันธ์ของอาจารย์ทั้งสองเปลี่ยนไปอย่างไร

เหมือนคนจีบกันมาหลายปี ในที่สุดก็ได้กัน 555 มันเริ่มรู้สึกเชื่อมโยงกันในจิตวิญญาณระดับลึก ไม่ใช่แค่ฟังกัน แลกเปลี่ยนความคิดกัน หรือภาวนาด้วยกัน แต่เรายังออกไปปฏิบัติการด้วยกันในสถานการณ์จริง อยู่ใน space อยู่กับ unknown ด้วยกัน มันรู้สึกเหมือนเป็นคู่เต้น เพื่อนร่วมรบ มีตั้มก็ต้องมีตุลอะไรแบบนั้นเลย

ผมพูดกับตุลว่า พิธีกรรมในแบบที่เขาทำ เป็น social/spiritual activism ที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและทางจิตวิญญาณอย่างทรงพลังมากๆ ผมอยากเห็นเขาออกจากพื้นที่ปลอดภัยของตัวเอง แล้วทำมันให้มากขึ้น

พอกลับมากรุงเทพฯ ก็ชวนตุลทำคอร์สพิธีกรรมพื้นฐานที่วัชรสิทธา สอนคนให้รู้จักพิธีกรรมทั้งในแง่ความหมายและการปฏิบัติด้วยตัวเองอย่างง่ายๆ ทำให้คนสามารถเชื่อมโยงสัมพันธ์กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในชีวิตประจำวันของตัวเอง จากนั้นไฟก็ลุกต่อเนื่องเลย Sacred Mountain ครั้งที่ 2 ครั้งที่ 3 สามปีติด แต่ละปีก็มีโจทย์ท้าทายใหม่ๆ ต่างกันไป

การทำงานร่วมกับตุลในงาน Sacred Mountain ค่อยๆ ทำให้ผมค้นพบศักยภาพที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในตัวเอง โดยเฉพาะมิติของการสัมพันธ์กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และ unseen world

งานคเณศปูชา ที่วัชรสิทธา, 2563


(อ่านต่อตอนที่ 3)












สถาบันวัชรสิทธา ก่อตั้งขึ้นเพื่อเป็นพื้นที่ทดลองทางการศึกษา บนพื้นฐานของการภาวนา การใคร่ครวญด้วยใจ และการแลกเปลี่ยนประสบการณ์อย่างเป็นมนุษย์ระหว่างผู้เรียน