เรียบเรียงโดย ทีมงานวัชรสิทธา
จาก “What We Can Learn from the Haunted Ground of Relationships”
การได้เห็นปีศาจภายในตัวเราสะท้อนอยู่ในกระจกของความสัมพันธ์ใกล้ชิด บังคับให้เราเติบโตขึ้น และเรียนรู้ว่าการเป็นผู้ไม่เห็นแก่ตัวอย่างแท้จริงนั้นหมายความว่าอย่างไร
ในแคว้นคองโปแห่งทิเบต ครั้งหนึ่งมีผู้ปฏิบัติเฉิดที่ได้รับการเคารพนับถือคนหนึ่งถูกถามว่าท่านเคยเดินทางไปยังป่าช้าอันน่าสะพรึงกลัวซึ่งมีวิญญาณสิงสถิตอยู่หรือไม่ ท่านตอบว่า “ไม่ ข้าไม่เคยไป ข้าไม่จำเป็นต้องไป เพราะข้าแต่งงานแล้ว”
ภายในป่าช้าแห่งความสัมพันธ์นั้น เรามักถูกกระตุ้นให้เจอกับรูปแบบพฤติกรรมวิปลาสเก่าๆ เราพัฒนานิสัยในการระบายภาระทางอารมณ์ใส่คู่ครองของเรา กระตุ้นปฏิกิริยาที่สะท้อนกลับมาหาเรา เมื่อเราไม่สามารถมองเห็นปีศาจของตนเองที่เกิดจากความหึงหวง การบ่น ความหวาดระแวง และความไม่พึงพอใจ รูปแบบเงามืดที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขเหล่านี้จะโปรเจ็คท์ไปยังอีกฝ่ายอย่างง่ายดาย สิ่งเหล่านี้คือปีศาจจากปมปัญหาของเราเองที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข บางคนยังคงโทษความสัมพันธ์และคู่ครองต่อไป แล้วเปลี่ยนจากความสัมพันธ์หนึ่งไปสู่อีกความสัมพันธ์หนึ่ง โดยคิดว่าพวกเขาจะพบคู่ที่สมบูรณ์แบบซึ่งจะไม่มีปัญหาใดๆ แต่หากเรายังไม่ยอมมองเข้าไปข้างในและรับรู้ความสับสนหรือความเจ็บปวดของตัวเอง แต่ละความสัมพันธ์ใหม่ก็จะกระตุ้นให้เกิดความปั่นป่วนเก่า ซ้ำๆ เดิม
ความสัมพันธ์ของมนุษย์ดูเหมือนจะประกอบด้วยพลวัตเดียวกันมาตั้งแต่โบราณกาล เป็นเวลานานมาแล้วที่ความสัมพันธ์ของมนุษย์ผูกยึดอยู่กับความปรารถนาส่วนตัว ความคาดหวัง ค่านิยม และศาสนา ในบางวัฒนธรรม จนถึงเมื่อไม่นานมานี้ มีความเชื่อว่าความสัมพันธ์ใกล้ชิดมีได้มีเฉพาะระหว่างชายและหญิงเท่านั้น และมักได้รับการจัดการโดยพ่อแม่หรือชุมชน ความสัมพันธ์ที่มีข้อผูกมัดไม่ได้ขึ้นอยู่กับการหาคู่ทางจิตวิญญาณ ความหลงใหลแบบโรแมนติก หรือการตกหลุมรักแรกพบเสมอไป บ่อยครั้งที่ครอบครัวต้องรู้จักภูมิหลังและมรดกทางวัฒนธรรมของคู่ครอง และให้พรแก่การแต่งงานของทั้งสอง
ความรักโรแมนติกเป็นพฤติกรรมทางสังคมที่ค่อนข้างใหม่ เมื่อมองดูประวัติศาสตร์ แนวทางนี้เพิ่งเกิดขึ้นไม่นาน กินเวลาเพียงส่วนน้อยของเวลาที่มนุษยชาติอยู่บนโลกนี้ อย่างไรก็ตาม ในจิตใต้สำนึกและในเทพนิยาย มีตำนานความรักที่บอกว่าเราสามารถหาคู่ที่สมบูรณ์แบบได้ คนที่รักกลิ่นของคุณอย่างไม่มีเงื่อนไข มีความเชื่อมโยงพิเศษกับคุณ จะอยู่ครองคู่ด้วยกันตลอดไป และจะสร้างครอบครัวที่มั่นคงกับคุณ นี่เป็นส่วนหนึ่งของความวิปลาสในความสัมพันธ์ของโลกสมัยใหม่ มันตั้งอยู่บนความไม่เข้าใจว่าความรักคืออะไร
เรามักใช้คำว่า “ความรัก” อย่างพร่ำเพรื่อ ตั้งแต่ภาพยนตร์รักคอมมิดี้ไปจนถึงความสัมพันธ์ที่ toxic และ abusive แนวคิดโรแมนติกที่สร้างขึ้นโดยโลกตะวันตกส่งผลกระทบต่อวัฒนธรรมอื่นๆ เราเห็นว่า แม้ผู้คนจะร้องเพลงในภาษาของตนเอง แต่ยังคงใช้วลีภาษาอังกฤษ “I love you” แทรกอยู่ในเพลง วลีนี้เป็นภาพลวงตาที่น่าหลงใหล แต่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องตกกลับสู่โลกที่เป็นจริงและธรรมดามากขึ้น บางครั้งมันก็นำมาซึ่งความผิดหวัง ความโรแมนติกอาจถูกมองเป็นเชิงบวก เป็นภาพลวงตาที่น่ารัก และบางคนอาจถาม “ทำไมไม่ปล่อยให้ผู้คนสนุกกับมันล่ะ? ทำไมต้องทำลายภาพลวงตานั้น?” แต่เรื่องราวในแฟนตาซีมักไปไกลเกินกว่าสิ่งที่ชีวิตมอบให้ และไม่มีใครสามารถตอบสนองความคาดหวังของความรักนั้นได้จริงๆ ในช่วงเริ่มต้นของความสัมพันธ์ ผู้คนพยายามที่จะแสดงพฤติกรรมที่ดีที่สุด แต่ก็ไม่มีใครสามารถแสดงได้ตลอดไป และในที่สุดตัวตนที่แท้จริงของเราก็จะปรากฏ รวมทั้งจุดอ่อนและปมในใจที่ยังไม่คลี่คลายของเรา
เมื่อเราเริ่มทิ้งขยะทางจิตวิทยาใส่คู่รักของเรา และคู่ของเราก็ทำเช่นเดียวกัน จะเกิดความไม่ลงรอย การกล่าวโทษ และการตัดขาดกันอย่างเจ็บปวด ภาพลวงตาของคู่ทางจิตวิญญาณ ความหึงหวง และความต้องการควบคุมคู่ของเรา ส่งผลทำให้คู่ครองกลายเป็นคนเฉยเมยหรือเรียกร้อง และก่อให้เกิดความผิดหวังอย่างลึกซึ้ง ภายใต้ความตึงเครียดของการพยายามรักษาภาพโรแมนติกในอุดมคติ คู่ครองอาจกลายเป็นเพียงคนหึงหวงกันและกัน และวงจรแห่งความหลงใหลทั้งหมดอาจเปลี่ยนจากหวานเป็นขม แม้ผู้คนจะรู้สึกว่าพวกเขารักกัน แต่พวกเขาไม่รู้จริงๆ ว่านั่นหมายความว่าอย่างไร และความรักก็อาจกลายเป็นความเกลียดหรือความขุ่นเคืองในทันใด สังคมสมัยใหม่จำเป็นต้องได้รับการให้ความรู้ใหม่เกี่ยวกับความรัก มิฉะนั้น ความหลงใหลทางเนื้อหนัง แรงกระตุ้นทางเพศ หรือแฟนตาซีต่างๆ อาจถูกเข้าใจผิดว่าเป็นความรัก
เมื่อเวลาผ่านไป ปัญหาทุกประเภทอาจพัฒนาขึ้นในความสัมพันธ์และทำให้ภาพลวงตาพังทลายลง ตัวอย่างเช่น ภาวะปิดตายทางความรู้สึก ความเบื่อหน่าย การทำให้สงสัยในความคิดตัวเอง (gaslighting) หรือการควบคุมบงการ กลยุทธ์เหล่านี้เป็นปีศาจภายในที่มักซ่อนอยู่ในความสัมพันธ์ เว้นแต่เราจะเปิดเผยพวกมันโดยเจตนา ยอมรับพวกมัน และเริ่มทำงานกับพวกมัน เมื่อเรากล้าสบตากับพวกมัน ความสัมพันธ์ก็สามารถกลายเป็นแหล่งกำเนิดความสุข commitment สามารถช่วยให้เราพบความสุขที่แท้จริง จากการเรียนรู้ว่าความรักที่แท้จริงคืออะไรในความหมายที่ลึกซึ้งที่สุด …ความรักที่แท้จริง คือการเข้าใจทั้งจุดแข็งและจุดอ่อนของตัวเองและคู่ของเรา แล้วยอมรับมันทั้งหมด มันเป็นการเต้นรำที่เป็นพลวัตของการให้และรับโดยไม่มีเงื่อนไข การปล่อยวางสู่ความไม่แน่นอนและความเปราะบาง และความเต็มใจที่จะช่วยเหลือคนนั้นยามที่จำเป็นต้องช่วย
เป็นเรื่องน่าเสียดายที่ความเจ็บปวดมาพร้อมการล่มสลายของแฟนตาซีความโรแมนติก แต่นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไม เราจึงมองความสัมพันธ์เป็นป่าช้าทางจิตวิญญาณอันเปี่ยมคุณค่า
บางคนเชื่อว่าหากเราตั้งใจที่จะเติบโตทางจิตวิญญาณอย่างแท้จริง เราควรอยู่ในความสัมพันธ์และมีลูก การเห็นปีศาจภายในของเราสะท้อนในกระจกของความเชื่อมโยงใกล้ชิด และชีวิตครอบครัวเดี่ยวหรือครอบครัวขยาย เราถูกบังคับให้เติบโตและเรียนรู้ว่าการไม่เห็นแก่ตัวที่แท้จริงหมายถึงอะไร และเรียนรู้ว่าการรักมนุษย์คนอื่นมากกว่าตัวเองเป็นอย่างไร บางทีประตูที่แท้จริงสู่การตรัสรู้ อาจไม่ใช่การหนีไปเข้าถ้ำทำสมาธิ แต่เป็นการดูแลครอบครัว
วันหนึ่ง ขณะที่ฉันกำลังนำภาวนาในชุมชนศิลปินเมนโดซิโน รัฐแคลิฟอร์เนีย มีผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามาหาฉันและทักทายฉันหลังจากบรรยาย เธอเล่าให้ฟังถึงสถานการณ์อันเจ็บปวดกับคู่ของเธอ ซึ่งทำร้ายเธอทางอารมณ์… ในการรับฟังเธอและรับรู้ความทุกข์ของเธอ ฉันไม่สามารถพูดกับเธอว่า “โอ้ ปล่อยวางความเจ็บปวดเถอะนะ” เมื่อฉันถามว่าความสัมพันธ์นี้เกิดขึ้นนานแค่ไหนแล้ว เธอบอกว่าหลายปีมาแล้ว ดังนั้น ฉันจึงพูดกับเธอว่า “บางทีคุณอาจพบกับสันติสุข หากคุณเอารูปของคนนั้นมาเผาเพื่อแสดงความโกรธทั้งหมดของคุณ” เธอผ่อนคลายและยิ้มได้หลังได้ยินสิ่งนี้
ป่าช้าของเธอคนนี้คือการกอดรักความโกรธของเธอนานเกินไป โดยการทำให้รู้ตัวว่าเธอกำลังยึดติดกับบางอย่างที่ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเธออีกต่อไปแล้ว เธอจึงสามารถหยุดทำร้ายตัวเองด้วยความทรงจำเดิมๆ ได้เสียที
แม้ว่าอารมณ์จะทรงคุณค่า แม้ว่าผู้ทำร้ายเราจะตายไปแล้ว เราก็ยังนำพวกเขาเข้ามาภายใน และสุดท้ายก็เป็นเราเองที่ทำร้ายตัวเองและทำให้ตัวเองทุกข์ทรมานต่อไปอีก ถึงเวลาที่จะปล่อยวาง แต่ไม่ได้หมายความว่าเราควรกดความรู้สึกของเราเอาไว้ ความเจ็บปวดทางอารมณ์ที่เกิดจากผู้อื่นมักจะคงอยู่ในตัวเรา เพราะเราไม่ให้เกียรติความเจ็บปวดหรือแสดงมันออกมาอย่างเต็มที่ การอยู่ตรงนั้นกับความเจ็บปวด และสื่อสารหรือแสดงมันออกมา อาจเป็นขั้นตอนแรกสู่การเยียวยา และแต่ละคนต้องหาวิธีของตนเองเพื่อทำเช่นนั้น
การก้าวข้ามตัวเองเป็นแนวคิดที่ยิ่งใหญ่ คำถามคือเราจะสามารถมีประสบการณ์อย่างแท้จริงได้อย่างไร ผู้คนสามารถมีประสบการณ์โดยการเลี้ยงลูกหรือดูแลพ่อแม่หรือเพื่อนที่สูงอายุ การยอมเสียสละการนอนและวันหยุด ยอมสละเงินทองและความสุข และละทิ้งความต้องการของตนเอง ถือเป็นเส้นทางสู่การเติบโตทางจิตวิญญาณ
การปฏิบัติตาม commitment ที่แท้จริงของความสัมพันธ์ถือเป็นแนวทางที่สะท้อนการไม่เอาตัวเองเป็นศูนย์กลางอย่างไม่ลดละและไม่ธรรมดา เป็นหนึ่งในหนทางสู่การหลุดพ้นที่จริงแท้ที่สุดที่มนุษยชาติสามารถเข้าถึงประสบการณ์การไปพ้นจากตัวตนได้ เป็นความไม่เห็นแก่ตัวที่แท้จริง ที่ไม่ใช่ภาวะทรานซ์อันมึนเมาด้วยเอนดอร์ฟินที่บางคนเข้าใจผิดว่าเป็นประสบการณ์ของความไม่มีตัวตน
+++++++++++++++++++++++++
หากท่านชอบบทความที่ตีพิมพ์บนเว็บไซต์ vajrasiddha.com และต้องการสนับสนุนการทำงานของพวกเรา สามารถช่วยกันแชร์ คอมเมนท์ ติชม ได้ในทุกช่องทางโซเชียลมีเดีย วัชรสิทธาดอทคอม ดำเนินงานเพื่อประโยชน์ด้านการศึกษาอย่างไม่แสวงหาผลกำไร ผู้ที่ได้รับประโยชน์ และมีจิตศรัทธา สามารถสนับสนุนการดำเนินงานของเว็บไซต์ได้ที่ — ธนาคารกสิกรไทย สาขาบางกระบือ ประเภทออมทรัพย์ ชื่อบัญชี “มูลนิธิวัชรปัญญา” เลขที่ 053-3-67904-8