บทความโดย โอม มณีปัทเมหุม
“The problem is that ego can convert anything to its own use, even spirituality.”
— Chögyam Trungpa
อัตตาไม่เลือกหน้าใครหรืออะไรทั้งนั้น มันจะดึงเอาทุกอย่างเข้ามาใช้ “เพื่อตัวเอง” ได้หมด ไม่ว่าจะเป็น ความรัก ความเมตตา ความเข้าใจ หรือกระทั่งการปฏิบัติธรรม เพื่อเสริมสร้างความรู้สึกว่าตัวมัน “ดีพอ” “เก่งพอ” “คู่ควรพอ”
ถึงแม้ลึกๆ มันจะรู้อยู่ว่าการธำรงรักษาตัวมันอย่างแข็งขันนั้นเป็นงานหนักที่ไร้แก่นสาร ตัวตนเป็นเพียงภาพลวงที่ไม่มีอยู่จริง เป็นความไร้ชีวิตของซากศพ แต่ถึงรู้ว่ากอดศพอยู่ มันก็ยอมรับความตายของตัวเองไม่ได้ มันไม่ต้องการการเปลี่ยนแปลงอะไรจริงๆ ในระดับรากฐาน ขอแค่ให้ “ตัวฉัน” อยู่รอดต่อไปได้เป็นพอ
แต่ในความเป็นจริง การอยู่รอดของอัตตาคือการรักษาสภาวะของการตัดขาด ตัดขาดจากหัวใจที่เต้นอยู่ตรงหน้า ไม่แยแส ไม่ใส่ใจ ไม่มีแม้เศษเสี้ยวของความรักที่อ่อนละมุนจริงๆ มีเพียงโครงสร้างของความสัมพันธ์ที่ตั้งขึ้นเพื่อหล่อเลี้ยงตัวมันเอง
อัตตาเลือกรับเฉพาะสิ่งที่มันต้องการ ผลักไสทุกอย่างที่บาดลึกเกินทน มันเก่งในการหาคำอธิบายที่ดูดี สร้างเรื่องเล่าใหม่ๆ ให้ความโหดร้ายกลายเป็นคุณธรรม ให้ความเย็นชาแปรเป็นความเข้มแข็ง
ความเฉลียวฉลาดแบบอัตตา เกิดจากการไม่มอง แต่เป็นการเลือกหยิบบางส่วนที่ใช้การได้ อัตตาไม่กล้าสบตาทั้งหมด แต่มันจะ alert มากยามมีอะไรเข้ามากระทบการอยู่รอดของมัน มันจะดึงเอากลยุทธ์ทางความคิด การประเมินสถานการณ์ ความดูมีเหตุมีผล ปฏิกิริยาการกระทำ และการมุ่งหวังผลในอนาคต …ฟังแล้วอาจจะดูดี แต่ทั้งหมดนี้คือรูปแบบอันหลากหลายของความเห็นแก่ตัวล้วนๆ
บางครั้ง เราจะพบคนที่พร่ำบอกว่ารักเราหนักหนา แต่เมื่อเปิดหัวใจรับฟัง กลับสัมผัสได้เพียงเสียงแห้งผากที่ไม่กล้าแตะแม้กระทั่งขอบหัวใจตัวเอง มันเป็นความรักที่ปราศจากเลือดเนื้อ ไม่มีอุณหภูมิ ไม่มีการดำรงอยู่ตรงนี้ด้วยกัน เป็นเพียงความต้องการที่จะ “มีใครสักคน” เพื่อประดับการมีอยู่ของตัวเอง พึ่งพา และใช้ประโยชน์จากความสัมพันธ์นั้น แต่ไม่นานเราจะเห็นรอยร้าว คำสัญญาที่ไม่เคยทำได้จริง การกระทำที่สวนทางกับถ้อยคำที่เคยพูด
แล้วความจริงก็เปิดเผย ว่าคำว่า “รัก” นั้น ไม่เคยเกี่ยวกับเราด้วยซ้ำ มันเกี่ยวกับการอยู่รอดของตัวเองทั้งหมด และในกระบวนการเอาตัวรอดของอัตตานี้เอง คนใกล้ตัว คนที่รักเขามากที่สุด จะกลายเป็นเหยื่อ ถูกหลอกใช้ ถูกวาดฝัน แล้วถูกทิ้งไว้กับซากปรักแห่งความคาดหวังที่พังทลาย ทั้งที่อีกฝ่ายอาจไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่ากำลังทำร้ายอยู่
“Ego is like a monkey in a cage: always grabbing at something, always on the lookout for another handhold.”
— Chögyam Trungpa
เพราะอัตตากลัวพื้นที่ว่าง กลัวการควบคุมไม่ได้ กลัวการไม่เป็นอะไรเลย เมื่ออัตตาอยู่กับความจริงอันไร้หลักไม่ได้ มันจึงสร้างกลไกและกลยุทธ์สารพัด ดูฉลาดแต่เปล่ากลวง ดูขยันแต่จริงๆ แล้วหลับอยู่ เพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับความไม่แน่นอน ความเปลี่ยนแปลง ความเจ็บปวด และความตาย
อัตตาไม่ยอมตายง่ายๆ มันจะดิ้นรนสุดฤทธิ์เพื่ออยู่รอด แม้ต้องเหยียบหัวใจคนอื่นเพื่อปีนขึ้นไปก็ยอม มันสอนตัวเองว่าความอยู่รอดนั้นสำคัญกว่าความซื่อสัตย์ต่อหัวใจ สอนตัวเองว่าความสำเร็จสำคัญกว่าความรักที่แท้จริง นี่คือความเศร้า ที่เราจะไม่มีวันได้สัมผัสความรักจากบางคน ไม่ว่าเขาจะพูดว่ารักเรามากแค่ไหนก็ตาม เพราะเขาไม่เคยว่างพอ ไม่เคยเปิดพอ ไม่เคย “ตาย” พอ ที่จะรักได้จริงๆ
หนทางเดียวคือการตาย
การตายจากตัวตนเท่านั้นที่จะให้พื้นที่กับความรักที่แท้จริงได้งอกงาาม การยอมตายจากภาพที่ตัวเองสร้าง ยอมตายจากแผนการทั้งหลาย ยอมตายจากความหวังและความกลัว …ตายเพื่อจะได้อยู่ตรงนี้ กับคนที่เรารัก ในชั่วขณะของความเป็นจริงที่เจ็บปวด
การตายเป็นเหมือนประตูที่เปิดออก เราเรียนรู้ที่จะเปิดตัวเอง “เปิดหัวใจ” ให้เปราะบาง อ่อนแอ และจริงแท้ “แค่อยู่ตรงนี้” กับสิ่งตรงหน้าอย่างไม่ต้องมีกลยุทธ์หรือการอธิบายใดๆ ทั้งนั้น
บางที ในความว่างที่เหลืออยู่หลังความตายนี้เองที่เราจะพบว่า ในส่วนลึกที่สุดของหัวใจ เราไม่ได้ต้องการอะไรเลย นอกจากการได้รัก และได้ถูกรัก เราปรารถนาที่จะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว ในยามแตกสลาย ได้อย่างแท้จริง