บทความสะท้อนประสบการณ์
โดย Waewisa Na Songkhla
แม้จะทำงานกับตัวเองพอสมควร แต่ชีวิตฉันก็ยังเต็มไปด้วยความสับสน
ทางเลือกมากมายสร้างภาวะอึดอัดคับข้องใจ ความกลัวและวิตกกังวลเข้าครอบงำ
ในขณะที่ฉันกำลังเงอะงะกับชีวิต เฟสบุ๊คก็ขึ้นคอร์ส Life Mission ในหน้าฟีด
ฉันค้นรีวิวเก่าๆ และค้นประวัติส่วนตัวของครูผู้สอน คิดว่ามันน่าสนใจมากๆ
ประกอบกับมีเพื่อนรอบตัวที่เคยเรียนกับครูวิคตอเรีย รีวิวว่าคอร์สนี้ดี ก็เลยตัดสินใจสมัคร
เมื่อถึงวันเข้าคลาสเรียน ก็จะมีครูวิคตอเรียเป็นผู้สอน และมีพี่ส้ม มาช่วยเป็นล่ามแปลภาษา
เริ่มแรกวิคตอเรียและพี่ส้มก็พานั่งภาวนา รับรู้ลมหายใจ จากนั้นก็ให้ทบทวนตัวเองซ้ำๆ
ฉันก็พบว่า ตัวตนของฉันมีหลากหลายมาก ทั้งด้านที่ดีและด้านร้าย
ฉันเป็นทั้งคนทำงานภาคสังคม แต่ก็มีหลายครั้งกลายเป็นคนเห็นแก่ตัว ฉันเกลียดเผด็จการ แต่ฉันเองก็เป็นเผด็จการเสียเองเมื่อมีโอกาส ฉันทำงานเรื่องอัตลักษณ์ทางเพศ แต่ก็เป็นฉันเองนี่แหละที่มีเสียงหยามเหยียดดังอยู่ลึกๆ ข้างใน
นี่น่าจะเป็นครั้งแรกที่ฉันได้สบตากับความอัปลักษณ์ภายในจิตใจแบบตรงๆ และยาวนาน
ช่วงบ่าย ครูวิคตอเรียและพี่ส้มพาเข้าสู่การเลคเชอร์ ที่ฉันคิดว่ามันต้องน่าเบื่อมากแน่ๆ แต่ก็ไม่ได้เป็นแบบที่คิดเพราะวิคตอเรียเล่าเรื่องแบบเล่นใหญ่ไฟกระพริบ มีการใช้อุปกรณ์มาอธิบายสิ่งที่ดูเข้าใจยากให้ง่ายแบบเหลือเชื่อ ส่วนพี่ส้มที่เป็นผู้แปลภาษาจากอังกฤษเป็นไทยก็พลอยเล่นใหญ่ตามวิคตอเรียไปด้วย เป็นสิ่งที่ฉันประทับใจมาก เมื่อคิดว่าคนที่ไม่รู้ภาษาอังกฤษมาเข้าคลาสนี้ เขาก็จะได้รับข้อมูลและอารมณ์ในการเล่าเรื่องที่เท่าเทียมกับคนที่ฟังภาษาอังกฤษได้คล่อง เป็นการเพิ่มโอกาสทางการเรียนรู้ให้กับคนที่มีต้นทุนด้านภาษาน้อย
วิคตอเรียเล่าเรื่องชีวิตวัยเด็กของตัวเอง ผ่านรูปภาพและสื่อการสอนต่างๆ ฉันรู้สึกสนุกเหมือนได้ดูสารคดี มีหลายเรื่องที่ฟังแล้วรู้สึกเชื่อมโยงกับตัวเอง และหลายเรื่องก็รู้สึกเชื่อมโยงกับเรื่องราวของคนรอบตัวที่เคยได้รับรู้รับฟัง
วิคตอเรียเล่าว่า เธอเคยเชื่อว่า รู้สึกดี = สิ่งที่ดี และ รู้สึกไม่ดี = สิ่งที่แย่
แต่จริงๆ แล้วมันไม่เป็นแบบนั้นเสมอไป ในการค้นหาพันธกิจชีวิตของเรา เราต้องทำงานกับทั้งความรู้สึกที่ดี และความรู้สึกแย่ เราจะต้องเรียนรู้ที่จะทำงานกับทั้งแรงปรารถนา (Desires) และ ความกลัว (Fears)
ตัวฉันที่ผ่านมาเลือกที่จะพุ่งเข้าหาแรงปรารถนา ด้วยความเข้าใจว่าชีวิตเกิดมาต้องทำแต่สิ่งที่ชอบ และตามกลิ่นแห่งความสุขไป สิ่งที่กลัวและต้องฝืนทน คือสิ่งที่ไม่ใช่ ก็จะไม่ทำ
ซึ่งพอฉันได้ฟังวิคตอเรีย ฉันก็เริ่มรู้ตัวว่าสิ่งที่ฉันทำมาตลอดอาจจะไม่ได้ถูกต้อง เพราะฉันเลือกที่จะหนีจากความกลัวตลอดเวลา และเสพแต่ความสุข จนยึดติดกับความรู้สึกที่ดี นานวันเข้ามันก็พอกพูนจนเป็นอัตตา และมีความกลัวก้อนใหญ่หนาเตอะอยู่ในใจฉัน เหมือนขยะที่ยังไม่ถูกเคลียร์ จนสิ่งเหล่านี้เริ่มขัดขวางเส้นทางชีวิตของฉันหลายครั้ง
ฉันเข้าใจแล้วว่าความกลัวบางอย่างก็มาเพื่อสอนเรา และเราต้องเดินเข้าหามัน
ทั้งนี้ไม่ใช่เพื่อต่อสู้กับมัน ไม่ใช่เพื่อทำลายมัน แต่คือการเดินเข้าไปนั่งอยู่กับความกลัว
รับรู้และสนทนากับมันอย่างนุ่มนวล
มีการเล่าถึงคัมภีร์มรณศาสตร์ของฑิเบต เป็นความเชื่อว่า เมื่อเราอยู่ในภาวะใกล้ตาย เราจะอยู่ในช่วงที่จิตเราเปิดการรับรู้มากกว่าปกติ เมื่อตายลงเราจะอยู่ในสภาวะเปลี่ยนผ่าน และตอนนี้เองที่เราจะสร้างพันธกิจชีวิตของเรา หากว่าเรายังไม่หลุดพ้น เราจะเริ่มออกแบบชีวิตของเราในภพชาติใหม่ โดยที่อ้างอิงจากการกระทำและประสบการณ์ในภพชาติที่แล้วๆ เราจะเลือกครอบครัวที่เราจะเกิด ประเทศที่จะเกิด ผู้คนรอบตัวที่จะต้องพบเจอ คนเหล่านี้ที่ถูกเลือกจะมีบทบาทเชื่อมโยงกับพันธกิจชีวิตของเราทั้งหมด และด้วยเหตุนี้เราจึงจำเป็นต้องค้นหาว่าอะไรคือพันธกิจชีวิตของเรา และพันธกิจของชีวิตเราไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
ดังนั้นการทำงานเพื่อค้นหาพันธกิจชีวิตจึงไม่ได้สำรวจแค่ตัวเราคนเดียว แต่จะต้องสำรวจถึงสามส่วน นั่นคือ ตัวฉัน ครอบครัวฉัน และสังคมของฉัน
แม้การอธิบายพันธกิจชีวิตด้วยความเชื่อในคัมภีร์โบราณจะดูหลอนๆ และไม่มีเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ใดๆ รองรับ แต่ ณ จุดนั้น ฉันก็เริ่มมองเห็นสิ่งต่างๆ ที่ประกอบสร้างออกมาเป็นฉันแบบรางๆ
เช้าวันต่อมา ฉันมีแบบร่างของพันธกิจชีวิตที่เขียนมา รู้สึกว่าเริ่มชัดแต่ก็ยังไม่สุด
การเอาการบ้านที่เราทำเข้าไปคุยกับผู้สอนสำหรับฉันรู้สึกอายไม่น้อย เพราะมันคือการเปิดเผยทุกอย่างทั้งบาดแผลและเป้าหมายชีวิตที่ตั้งใจไว้
พอเข้าไปคุย พี่ส้มนำพาฉันให้ลงลึกมากขึ้น ด้วยการถามคำถามสำคัญหลายคำถาม
จากนั้นเราก็ช่วยกันปะติดเรียงร้อยคำต่างๆที่โดนใจเข้าด้วยกัน และเชื่อมประโยคให้สมบูรณ์
เมื่อได้แล้ว พี่ส้มก็ถามฉันว่า “รู้สึกยังไงบ้าง”
ฉันตอบว่า “รู้สึกสว่างไสว”
ฉันนึกย้อนกลับไปในวัยเด็ก ถึงครูที่เคยตีฉัน จนฉันตัวสั่นมือไม้สั่น ฉันจมอยู่กับความไม่ให้อภัย เกลียดชัง โกรธแค้น แต่ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้วว่านั่นคือหนึ่งในกระบวนการสู่พันธกิจชีวิตของฉัน
และเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นเพื่อยืนยันบางอย่างกับฉัน
ฉันสามารถให้อภัยได้อย่างไม่ติดขัดกับเหตุการณ์ในอดีต ที่หล่อหลอมให้ฉันมายืนอยู่ตรงนี้
และเมื่อรู้สึกแบบนี้ หัวใจของฉันก็เบาแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ความรู้สึกหวาดกลัวและสั่นไหวที่เคยมีบรรเทาลง
ทุกเส้นทางที่เราเดินมาล้วนมุ่งสู่พันธกิจชีวิตของเราโดยที่เราไม่รู้ตัว
เราแค่ต้องเฝ้าสังเกต เฝ้าถามตัวเอง วิเคราะห์ และทำงานกับมันทั้งแรงปรารถนาและความกลัว
เผื่อว่าวันสุดท้ายของชีวิตมาถึง จะได้ปล่อยมือจากมัน
และมั่นใจว่าไม่มีอะไรติดค้างอีกแล้ว
Life Mission ค้นพบพันธกิจชีวิต : รอบต่อไป 17-18 มิถุนายน 2566
สมัครได้ที่วัชรสิทธา >>