ประชา หุตานุวัตร : ขอให้สรรพสัตว์ไม่มีที่สุดไม่มีประมาณ ได้รับบุญกุศลที่เราร่วมกันบำเพ็ญภาวนาในบัดนี้ด้วยเทอญ

นำภาวนา โดย ประชา หุตานุวัตร
ถอดความจากกิจกรรม “ภาวนาเคียงข้างผู้ถูกกดขี่” โดยวัชรสิทธา วันที่ 25 พฤษภาคม 2564


ชวนพวกเรานั่งในท่าที่สบายนะครับ เราภาวนาด้วยกันสักครึ่งชั่วโมงนะ ใครเคยทำแบบไหนแล้วได้ผล ก็ทำต่อไปนะครับ ผมก็จะนำแบบที่ผมเคยนำ ถ้านั่งตัวให้ตรงได้ก็จะดีนะครับ ถ้านั่งเก้าอี้ก็อย่าให้หลังพิง ยืดตัวขึ้น ครูบาอาจารย์ท่านบอกว่าถ้านั่งในท่าที่ถูกแล้วเนี่ย สมาธิมันเกิดเอง เราไม่ได้เป็นคนทำให้เกิดสมาธิ ก็รักษา ประคอง ยิ้มน้อยๆ ที่หัวใจและใบหน้า อาจจะนึกถึงพระพุทธรูปงามๆ ที่เราเคารพนับถือ หลับตาสบายๆ นะครับ ดูลมหายใจเข้าออก จะเจริญกายกับสติ จากส่วนหนึ่งไปอีกส่วนหนึ่งของร่างกายนะครับ

เริ่มที่ฝ่าเท้าทั้งสองข้าง ข้อเท้า ขาท่อนล่าง เข่า ขาท่อนบนสะโพก ท้องส่วนล่าง ท้องส่วนกลาง ทรวงอก หลังแผ่นล่าง ส่วนกลาง หลังส่วนบน ไหล่ทั้งสอง ท่อนแขนทั้งสอง ศอก แขนท่อนล่าง ข้อมือ ฝ่ามือ หลังมือ นิ้วโป้ง นิ้วชี้ นิ้วกลาง นิ้วนาง นิ้วก้อย ลำคอ คางและขากรรไกร หู กระโหลกศีรษะด้านหลัง ขมับ แก้ม ริมฝีปาก ฟัน ลิ้น จมูก ตา หน้าผาก กระหม่อม หายใจออกลึกๆ สัก 2-3 ครั้ง รู้ตัวทั่วพร้อม ประคองยิ้มน้อยๆ ที่หัวใจและใบหน้าเอาไว้ กำหนดรู้แขนขวา บอกตัวเองว่าแขนขวาหนักทั้งสองลมหายใจเข้าออก แขนซ้ายหนัก ขาขวาหนัก ขาซ้ายหนัก แขนและขาหนักและอุ่น หัวใจเต้นปกติและสม่ำเสมอ ธรรมชาติหายใจอย่างสงบ กลางลำตัวอุ่น สมองส่วนหน้าเย็นและโปร่ง ต้นคอและไหล่หนัก กายใจนี้สงบลงๆ ยิ้มน้อยๆ ด้วยครับ เริ่มใหม่ แขนขวาหนัก แขนซ้ายหนัก ขาขวาหนัก ขาซ้ายหนัก แขนและขาหนักและอุ่น หัวใจเต้นปกติและสม่ำเสมอ ธรรมชาติหายใจอย่างสงบ กลางลำตัวอุ่น สมองส่วนหน้าเย็นและโปร่ง ต้นคอและไหล่หนัก กายใจนี้สงบลงๆ กำหนดรู้ทั่วกาย

เริ่มใหม่นะครับ คราวนี้บอกตัวเองว่าแขนขวาสว่าง ทำความรู้สึกว่าแขนของเราเรืองแสงออกมา แขนซ้ายสว่าง ขาขวาสว่าง ขาซ้ายสว่าง แขนและขาสว่าง หัวใจสว่าง ปอดและทางเดินหายใจสว่าง กลางลำตัวสว่าง สมองส่วนหน้าสว่าง ต้นคอและไหล่สว่าง กายใจนี้สว่าง รักษายิ้มน้อยๆ เอาไว้นะครับ

กำหนดรู้ทั่วกายหรือว่ามองทั่วกาย เห็นกายเป็นธาตุธรรมชาติ บอกตัวเองว่าธรรมชาติกำลังนั่ง หายใจเข้า ดูว่าธรรมชาติกำลังดู หายใจออก ทั้งผู้ดูและสิ่งที่ถูกดูเป็นธาตุธรรมชาติ ทำความรู้สึกไปด้วยว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติทั้งหมดรอบตัวเรา ขอบแขตที่แยกเราจากธรรมชาติไม่มี เราเป็นหนึ่งเดียวกับทั้งหมด ธรรมชาติกำลังนั่ง ธรรมชาติกำลังดู ระหว่างที่เราดูกาย ดูใจ แล้วก็รักษาบทบริกรรมไว้นะครับ ถ้าหากว่าเกิดมีอาการคันในร่างกาย มีอาการปวดตรงนั้นตรงนี้นิดๆ หน่อยๆ หรือใครนั่งอยู่ในที่ที่ลมมากระทบกายแล้วรู้สึกสบาย ให้ใจมันรับรู้ความรู้สึกเหล่านี้ แวบมาดูความรู้สึกเหล่านี้นิดหนึ่งก็ได้ แต่ก็ไม่ถือเป็นเราเป็นของเราเช่นเดียวกันนะครับ สมมติว่าเกิดคันขึ้นมา ธรรมชาติคัน ธรรมชาติดู ดูธรรมชาติสบาย ธรรมชาติดู ถ้าลมมาถูกกายรู้สึกสบาย แล้วก็กลับมาดูที่กายเหมือนเดิมนะครับ เอากายเป็นฐาน ธรรมชาตินั่ง ธรรมชาติดู ถ้าหากว่านั่งอยู่แล้วเกิดได้ยินเสียง ผมนั่งอยู่แถวนี้ได้ยินเสียงแมลง เสียงจิ้งจก ถ้าจิตรับรู้เสียงก็บอกว่าธรรมชาติได้ยิน ธรรมชาติดู ก็กลับมาที่กายเหมือนเดิมนะครับ

บางคนนั่งแล้วก็เริ่มนึกถึงเรื่องนั้นเรื่องนี้ อย่างผมนี่เริ่มนึกละ เดี๋ยวภาวนาเสร็จจะพูดอะไร ก็ธรรมชาติคิด ธรรมชาติดู แต่ทั้งหมดเนี่ยให้ร่างกายเป็นฐานนะครับ ธรรมชาตินั่ง ธรรมชาติดู เป็นฐานอยู่ตลอดเวลา แต่ถ้าใจมันไปตรงไหนก็กำหนดรู้ตรงนั้น นั่งตัวตรง ยิ้มสบายๆ เอาไว้ อยู่กับปัจจุบันเต็มที่ ไม่ว่าปัจจุบันที่กาย ที่เวทนา ความรู้สึกต่างๆ หรือความนึกคิด หรือเสียงที่เข้ามา โดยใช้กายเป็นฐาน อะไรทีเกิดขึ้นในปัจจุบันขณะ รับรู้สิ่งนั้น ตั้งชื่อให้มันหน่อยหนึ่ง มันจะได้ชัดอยู่กับปัจจุบัน ใช้กายเป็นฐาน จะช่วยให้เราไม่หลุดง่าย ถ้าเราตามโดยไม่มีกายเป็นฐาน เดี๋ยวมันจะเริ่มหลุดเข้าไปในความคิด ไม่ได้อยู่กับปัจจุบัน โอบรับทุกอย่างที่เกิดขึ้นด้วยสติ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่เข้ามาเป็นบวกหรือเป็นลบ ใจกลางๆ นิ่งๆ ยิ้มนิดๆ ไว้นะครับ

ความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับทุกอย่างที่เกิดขึ้น ไม่มีอะไรมากเกินไป ไม่มีอะไรน้อยเกินไป เมื่อจิตสงบลง บทบริกรรมอาจจะสั้นลง หรืออยู่กับปัจจุบันโดยไม่มีบทบริกรรมก็ได้ ถ้าจิตมันสงบลง ความรับรู้มันน้อยลง บทบริกรรมก็จะหายไปเองตามธรรมดา เวลาบทบริกรรมหายไปมีสองแบบ แบบหนึ่งหายไปเพราะความฟุ้งซ่าน กับแบบหนึ่งหายไปเพราะว่าจิตเราสงบลง แล้วจะรู้ได้ยังไง สังเกตว่าถ้าจิตเราสงบลง เราจะรู้สึกเย็นกาย เย็นใจ นิ่งๆ สบายๆ ถ้าอย่างนั้นบทบริกรรมหายไปก็ไม่ต้องมาเริ่มต้นใหม่ อยู่กับอารมณ์ปัจจุบันเต็มที่ไปเลย แต่ถ้าหายไปเพราะว่าเริ่มไปคิดนี่คิดนั่น ความรู้สึกเย็นสบายจะไม่มี คราวนี้อยากชวนให้มารู้ตัวรู้ ดูตัวดู ธรรมชาติกำลังรู้ ธรรมชาติกำลังดู ธรรมชาติกำลังรู้ ตัวรู้เป็นธาตุธรรมชาติ

คราวนี้ตอนท้ายๆ อยากจะแนะนำวิธีภาวนาแบบโบราณอีกแบบหนึ่งที่ผมเห็นว่ามีประโยชน์ในการทำให้เราจิตใจกว้างขวาง ลดอคติต่างๆ ลงได้เยอะเหมือนกัน

ให้จินตนาการถึงตัวเราเองนั่งอยู่ต่อหน้าเรา ลองนึกให้เห็นหน้าเราชัดๆ เลย หน้าเราเป็นยังไงตอนนี้ แล้วก็ส่งความรักไปให้เราที่อยู่ต่อหน้าเรา ขอให้เป็นสุข ขอให้เป็นสุข ทีนี้จินตนาการคนที่นั่งถัดไปเป็นคนที่เราเคารพรัก นึกถึงหน้าของท่านให้ชัด หรือเป็นคนที่ล่วงลับไปแล้วก็ได้นะครับ แล้วก็ส่งความรักให้ท่าน ขอให้เป็นสุข ขอให้เป็นสุข ต่อไปคนที่นั่งถัดไปเป็นคนที่เรารู้สึกไม่รักไม่ชังนะครับ คนที่เรารู้จัก รู้สึกเฉยๆ นึกหน้าให้ชัด แล้วก็ส่งความรักไปให้คนนี้เหมือนกัน ขอให้เป็นสุข ขอให้เป็นสุข แล้วก็คนสุดท้ายนึกถึงหน้าคนที่เราไม่ค่อยชอบหน้าเท่าไหร่ จะรู้จักส่วนตัวหรือว่าจะเป็นผู้นำในสังคมที่เราไม่ชอบหน้าก็ได้ นึกหน้าเขาให้ชัด แล้วก็ส่งความรักไปให้คนนี้เช่นเดียวกัน ขอให้เป็นสุข ขอให้เป็นสุข ทีนี้ก็ส่งความรักให้ทั้ง 4 คน ตัวเรา คนที่เราเคารพรัก คนที่รู้สึกเฉยๆ และคนที่เราไม่ค่อยชอบหน้า ส่งความรักไปให้ทั้ง 4 คนเสมอกัน ขอให้เป็นสุข ขอให้เป็นสุข ก็ขยายความรักนี้ออกไปรอบสากลจักรวาล ขอให้สรรพสัตว์ไม่มีที่สุดไม่มีประมาณ ได้รับบุญกุศลที่เราร่วมกันบำเพ็ญภาวนาในบัดนี้ด้วยเทอญ

อย่าลืมนะครับเรานั่งอยู่บนดาวนพเคราะห์ดวงเล็กในระบบสุริยจักรวาล แล้วระบบสุริยจักรวาลนี้ก็เคลื่อนไปในอวกาศค่อนข้างเร็ว นะ 40,000 ไมล์ต่อชั่วโมง ระบบสุริยจักรวาลของเราก็เคลื่อนอยู่ในกาแล็กซี แล้วในจักรวาลที่มนุษย์สร้างเครื่องมือขึ้นมาสังเกตได้มีเป็นพันล้านกาแล็กซี จินตนาการว่าจากจุดเล็กๆ บนดาวนพเคราะห์ เราส่งความรักไปทั่วสากลจักรวาล ทุกทิศทุกทาง

ถ้าได้ยินเสียงระฆังก็ถอนออกจากสมาธิตามจังหวะของตัวเองนะครับ