อานัม ทุบเท็น : “ป้อมปราการทั้งสาม” กับการปกป้องจิตใจในยุคสมัยแห่งความปั่นป่วน

บทความโดย อานัม ทุบเท็น รินโปเช
แปลและเรียบเรียงโดย ทีมงานวัชรสิทธา

ภาพประกอบโดย Nakkusu


ในช่วงเวลาที่โลกผันผวน ผู้คนสงสัยว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับตนเอง ประเทศของตน หรือแม้แต่โลกทั้งใบ ตั้งแต่สมัยโบราณ ผู้คนหันไปหาเทพพยากรณ์เพื่อหาคำตอบ ดูเหมือนว่าหลายคน โดยไม่รู้ตัว กำลังทำในสิ่งเดียวกันกับนักพยากรณ์กรีก นามว่า “แคสซานดรา” ผู้มีพลังในการคาดการณ์หายนะ และตอนนี้เราหลายคนก็อ้างว่าตนมีพรสวรรค์นั้น เพราะบางคำทำนายของเรากลายเป็นจริง อัตตาส่วนรวมจึงเชื่อว่าพวกเราทำนายอนาคตอันมืดมนได้อย่างแม่นยำ ความคาดหวังในความมืดมนเช่นนี้กลายเป็นแว่นตาที่เราสวมมองโลก ก่อให้เกิดความกังวล ความไม่มั่นคง และความสิ้นหวัง เรากลับมองไม่เห็นความดีงามที่ยังคงเกิดขึ้นทั้งในชีวิตของเราและในโลกกว้าง

แม้เราจะต่อต้านแรงกระตุ้นให้กลายเป็นแคสซานดราอีกคน แต่สิ่งหนึ่งที่แน่นอนคือโลกจะยังคงปั่นป่วน และนั่นอาจยากจะยอมรับ โดยเฉพาะเมื่อเรายังสะเทือนใจจากเหตุการณ์ทางการเมืองหรือความวุ่นวายทางสังคมรอบตัว ข้าพเจ้าไม่ใช่ผู้พยากรณ์ แต่เรา ทั้งส่วนตัวและส่วนรวม อาจต้องเผชิญความปั่นป่วนทางอารมณ์ นี่อาจเป็นส่วนหนึ่งของวิวัฒนาการ เป็นความเจ็บปวดจากการตื่นรู้ คงจะดีไม่น้อยถ้าในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เราได้อยู่ในยุคแห่งสันติ และกล่าวได้ว่า “เราเคยผ่านยุคแห่งความปั่นป่วนและความเจ็บปวดของการตื่นรู้มาแล้ว บัดนี้มันจบลงแล้ว”

แต่มีสัญญาณหนึ่งที่บ่งบอกว่าเส้นทางเบื้องหน้ายังไม่ราบเรียบ นั่นคือ ภาวะโลกร้อน ซึ่งทวีความรุนแรงขึ้นทุกปี ความเสียหายอันใหญ่หลวงจากน้ำท่วม พายุเฮอริเคน และไฟป่า กลายเป็นข่าวประจำวัน จนเราอาจเฉยชาไปแล้ว แต่ความจริงนั้นปฏิเสธไม่ได้ ในใจลึก ๆ เรายังได้ยินเสียงเตือนที่ไม่อาจหยุดยั้งว่า ภัยพิบัติที่มนุษย์ก่อขึ้นนี้กำลังมาถึง

แม้ผู้คนและประเทศที่มีอำนาจและความมั่งคั่งจะสร้างภาพลวงว่าพวกเขาจะไม่รับผลกระทบ แต่ภาพนั้นจะถูกรักษาไว้ได้อีกไม่นาน ไม่ช้าก็เร็ว ความโกรธของธรรมชาติก็จะส่งผลต่อทุกคน ไฟป่าที่ถล่มลอสแอนเจลิสเมื่อไม่นานมานี้คือเครื่องยืนยัน แม้แต่ปราสาทของคนมีชื่อเสียงก็กลายเป็นเถ้าถ่านในชั่วพริบตา ภัยเหล่านี้คือการเตือนอันหนักแน่นว่าโลกร้อนนั้นเป็นจริง และเราต้องยอมรับว่าเราคือผู้ก่อมันขึ้น แต่ข่าวดีคือ ในเมื่อมนุษย์เป็นผู้สร้าง เราก็มีศักยภาพในการย้อนมันกลับ ไม่ใช่เพื่อตัวเราเท่านั้น แต่เพื่อทุกสรรพชีวิตที่อาศัยอยู่บนโลกอันงดงามนี้

มีพลังแห่งความโกลาหลอีกหนึ่งอย่างในโลก ซึ่งถูกเติมเชื้อโดยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ประชากรโลกได้รับการเข้าถึงข้อมูลและสื่อสังคมออนไลน์อย่างทั่วถึง สิ่งนี้สามารถส่งผลที่เป็นประโยชน์ ช่วยให้ผู้คนได้รับข้อมูลข่าวสารมากขึ้นและแยกตัวน้อยลง แต่ก็สามารถเป็นพลังด้านลบได้เช่นกัน ในโลกปัจจุบัน ทุกคนสามารถมีแพลตฟอร์มสำหรับเผยแพร่กระแสด้านลบ ความเกลียดชัง ทฤษฎีสมคบคิด การวิพากษ์วิจารณ์ตัดสิน และการแบ่งแยกและความท็อกสิกต่างๆ นานา ดังนั้น แม้จะมีสิ่งดีๆ ที่มาหาเราผ่านนวัตกรรมทางเทคโนโลยี ยารักษาโรคใหม่ๆ มาตรฐานการครองชีพที่ดีขึ้น ความสะดวกสบายมากขึ้น กระทั่งสังคมที่เท่าเทียมกันมากขึ้น แต่โดยรวมแล้ว โลกกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกวุ่นวายไร้ทิศทาง ผลที่ตามมาคือ เราสามารถตกเป็นเหยื่อของความปั่นป่วนภายในตัวเราทุกรูปแบบได้อย่างง่ายดาย ความกลัว ความสับสน การมองโลกในแง่ร้าย ความเห็นแก่ตัว ความวิตกกังวล ความเหงา และแรงผลักดันที่จะระเบิดออกมาด้วยความโกรธ

ด้วยเหตุผลทั้งหมดนี้ จึงถึงเวลาแล้วที่ผู้คนจะต้องหาที่พึ่งที่ตื่นรู้มากกว่าการเคลื่อนไหวทางการเมืองหรืออุดมการณ์ใดๆ ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องหันมาพึ่งพาป้อมปราการศักดิ์สิทธิ์ภายใน แนวคิดนี้มีประวัติอันยาวนานในพุทธศาสนาทิเบต โชเจ จิกเม พุนซก (Chöje Jigme Phuntsok) หนึ่งในธรรมาจารย์ผู้ทรงอิทธิพลแห่งศตวรรษที่ 20 เคยกล่าวไว้ว่า หากเราพึ่งพาป้อมปราการศักดิ์สิทธิ์ เราจะไม่ตกเป็นเหยื่อของกองทัพมาร ปีศาจที่เป็นสัญลักษณ์ของพลังลบภายในที่ขัดขวางหนทางสู่การตื่นรู้ ท่านสอนว่ามี ป้อมปราการศักดิ์สิทธิ์ 3 ประการ คือ ป้อมปราการภายนอก ป้อมปราการภายใน และป้อมปราการลับ ดังบทกวีของท่านที่กล่าวไว้ว่า

จงพึ่งพาป้อมปราการภายนอก คือดินแดนแห่งพระรัตนตรัย

จงอาศัยป้อมปราการภายใน คือป้อมปราการแห่งสติสัมปชัญญะ

จงภาวนาในป้อมปราการลับ คือเกราะแห่งการตระหนักรู้ความว่างอันไร้สิ่งขวางกั้น

เมื่อป้อมปราสาททั้งสามรวมกัน กองพลแห่งมารจะไม่สามารถทำอันตรายแก่เจ้าได้

แนวคิดเรื่องป้อมปราการปรากฏอยู่บ่อยครั้งในคำสอนโบราณของพุทธศาสนาทิเบต โดยมักใช้เป็นคำเปรียบเปรยถึง “การตระหนักรู้” หมายความว่าเรากำลังเสริมความแข็งแกร่งให้จิตใจและหัวใจของเราปลอดภัยจากกองทัพมาร กองทัพมารเป็นอีกชื่อหนึ่งของอัตตา สื่อถึงกระแสอันรุนแรงที่อาจปะทุขึ้นในจิตสำนึกของเรา คำว่า “เสริมความแข็งแกร่ง” อาจฟังดูละคร แต่โดยพื้นฐานแล้วมันหมายถึง การปกป้องหรือคุ้มครองตนเองจากความโกรธ ความกลัว ความสับสน รวมถึง ความบ้าคลั่งโดยรวมของเรา ที่สามารถแพร่กระจายผ่านโซเชียลมีเดียอย่างรวดเร็วประหนึ่งไวรัสแห่ง “กิเลส”

หากเราน้อมนำคำแนะนำนี้ในการเสริมความแข็งแกร่งให้ตนเองและดำเนินชีวิตตามนั้นจริงๆ เราก็จะสามารถพบสันติภาพในยุคแห่งความยากลำบากนี้ได้ แต่เราจะทำอย่างไร?

การหาที่พึ่งในป้อมปราการภายนอก คือ การมีต้นแบบอันศักดิ์สิทธิ์ เช่น ดาวเหนือ ที่เราสามารถใช้เป็นเข็มทิศในขณะที่เดินทางผ่านพายุแห่งชีวิต หนึ่งในวิธีนั้นคือการมีที่พึ่งใน พุทธะ ธรรมะ และสังฆะ สิ่งนี้จะกลายเป็นเข็มทิศที่เรานำมาใช้เมื่อต้องเผชิญสถานการณ์ท้าทายที่ทำให้เราหลุดจากความมั่นคงภายใน เราอาจถามตนเองว่า “พุทธะจะทำอย่างไรในสถานการณ์นี้” เพียงคำถามเรียบง่ายนี้ก็นำพาเราให้สงบ เยือกเย็น มีเมตตา และไม่ตอบโต้ด้วยอารมณ์ เราจึงสามารถเผชิญทุกเหตุการณ์อย่างมีศักดิ์ศรี ด้วยความนิ่ง และหัวใจอันเปิดกว้าง หากปราศจากแนวทางนี้ เราอาจถูกพัดพาไปไหนก็ได้ทุกเมื่อ

เมื่อเร็วๆ นี้ ขณะปฏิบัติรีทรีทในช่วงวันปีใหม่สองวัน เพื่อนคนหนึ่งของข้าพเจ้า ซึ่งเป็นผู้ปฏิบัติมายาวนาน บอกว่าเธอเพิ่งได้รับข้อความจากลูกชาย ซึ่ง “กระตุกปมปัญหาทางอารมณ์ทั้งหมดของเธอ” แต่เนื่องจากเธอเพิ่งได้ฟังคำสอนเกี่ยวกับป้อมปราการภายนอก เธอจึงหยุดชั่วขณะ แล้วถามตัวเองว่า “พุทธะจะทำอย่างไร?” เพียงเท่านี้ เธอก็ไม่ปล่อยให้ตนถูกความคิดและอารมณ์พัดพาไป ภายในไม่กี่นาที เธอสงบลง และสามารถรับมือกับสถานการณ์นั้นจากจุดแห่งความกรุณาและเมตตา เรื่องนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า เราสามารถ “เสริมกำลังจิตใจ” ได้จริง ด้วยการมีพุทธะ ธรรมะ และสังฆะ เป็นที่พึ่ง

ป้อมปราการศักดิ์สิทธิ์แห่งที่สอง คือ ป้อมภายใน ซึ่งก็คือ “สติสัมปชัญญะ” นี่คือการฝึกอันทรงพลัง เป็นเสมือนการระลึกถึง หรือ “การตระหนักรู้อย่างมีสติ” ที่ต้องอาศัยความตั้งใจอย่างมุ่งมั่นระดับหนึ่ง มันหมายถึงการเฝ้าดูว่าในใจของเรากำลังเกิดอะไรขึ้น ไม่ใช่แค่ในช่วงนั่งภาวนา ซึ่งเป็นช่วงที่ค่อนข้างง่ายต่อการรักษาการตระหนักรู้ แต่หมายถึง การเฝ้ารู้ตลอดเวลาในชีวิตประจำวัน เราอาจเริ่มต้นวันใหม่ด้วยเจตนาแน่วแน่ว่า “จะปกป้องใจเราจากกองทัพมาร” แทนที่จะคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาอ่านข้อความข่าว หรือจมอยู่กับกระแสความคิดของตนเอง เราหยุดชั่วครู่ และตั้งเจตนาแน่วแน่เพื่อฝึกสติระลึกรู้

ในช่วงเวลานั้น เราเริ่มใช้ชีวิตอย่างมีสติ ไม่ปล่อยให้ใจไหลกลับไปสู่โหมดอัตโนมัติแห่งความเผลอไผล แม้ประสบการณ์ที่ตามมาอาจจะยังไม่ลึกซึ้งทางจิตวิญญาณ แต่เราได้เลือกอย่างมีสติที่จะไม่หล่อเลี้ยงความคิดและอารมณ์ด้านลบอีกต่อไป เราได้ตอบรับคำเชื้อเชิญให้ดำรงอยู่กับการตระหนักรู้อย่างต่อเนื้องตลอดทั้งวัน เราอาจถามตัวเองเงียบๆ ว่า “ตอนนี้สภาวะจิตใจของฉันเป็นอย่างไร?”

เมื่อเราหมั่นกลับมาถามเช่นนี้อย่างต่อเนื่อง เราก็จะสามารถหลุดพ้นจาก “นิสัยเดิมๆ” ได้ เมื่อความคิดลบผุดขึ้นมา เราเพียงแค่สังเกต เป็นประจักษ์พยาน โดยไม่เข้าไปยึดถือ หรือถ้ามันยังไม่จางไป เราก็สามารถหันเหความสนใจไปสู่สิ่งอื่นที่ทำให้ใจผ่อนคลาย แม้เพียงสิ่งธรรมดาในชีวิตประจำวันก็สามารถเยียวยาจิตใจได้ เช่น ความรู้สึกที่นิ้วเท้า สัมผัสเย็นๆ ที่ปลายนิ้วมือ ความงามของธรรมชาติ ดอกไม้หลากสีสัน แสงแดดอันอ่อนโยน การเคลื่อนตัวของก้อนเมฆที่ลอยเอื่อย หรือแม้แต่ความสุขเล็กๆ ในบ้านของเราเอง เช่น กลิ่นกาแฟยามเช้า ความนุ่มของโซฟา ผิวสัมผัสของผนัง ฯลฯ เมื่อเราปกป้องจิตใจผ่านการฝึก “สติสัมปชัญญะ” อย่างต่อเนื่อง เราก็สามารถพาตนเองกลับคืนสู่ ความดีงามโดยธรรมชาติของแต่ละขณะจิตได้เสมอ

เราพึ่งพิง ป้อมปราการศักดิ์สิทธิ์แห่งที่สาม คือ ป้อมลับ นั่นคือการภาวนาบนสิ่งที่เรียกว่า “ความตระหนักรู้ความว่าง” (awareness-emptiness) หรือในสายซกเช็น เรียกว่า ริกปะ (Rigpa) ซึ่งคือธรรมชาติอันบริสุทธิ์เดิมแท้ของจิตเราเอง ไปพ้นจากความคิดและประสบการณ์เคยชินของเรา บ่อยครั้ง เรามักคิดว่าจิตคิดของเรา ที่ขับเคลื่อนด้วยอัตตา คือทั้งหมดของความรู้สึกนึกคิด แต่แท้จริงแล้ว ยังมีสิ่งที่ลึกกว่านั้นซ่อนอยู่ภายใน นั่นคือ สภาวะดั้งเดิมของจิตใจเดิมแท้อันไร้เงื่อนไข ปราศจากอัตตาอย่างสิ้นเชิง เมื่อใดที่เราหยั่งถึงสภาวะนี้ เราจะสัมผัสถึงภาวะอันข้ามพ้นอย่างแท้จริง ไม่มีการแบ่งแยกระหว่าง “ตัวฉัน” กับ “ผู้อื่น” เรื่องราวทั้งหมดของเราเกี่ยวกับถูกและผิด สำเร็จและล้มเหลว จะหายวับไป

การค้นพบนี้ไม่ต้องอาศัยยาวิเศษ เคล็ดลับ หรือพิธีกรรมใด ๆ บางครั้ง แค่เพียง “นั่งเงียบๆ” เพลิดเพลินกับประสาทสัมผัส และไม่ไหลตามความคิด ก็สามารถนำเราเข้าสู่สภาวะนี้ได้โดยตรงสามารถนำเราไปสู่สภาวะจิตใจที่เราเห็นธรรมชาติที่แท้จริงและการปลดปล่อยได้โดยตรง แล้วเราสามารถพูดได้ว่า “โอ้ นี่แหละ ริกปะ!”  นี่คือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริง นี่คือที่พึ่งที่แท้จริง หากเพียงเรายินดีเปิดรับประสบการณ์เช่นนี้ ความหลุดพ้นก็อยู่ใกล้กว่าที่คิด เพราะโดยธรรมชาติแล้ว มนุษย์คือสิ่งมีชีวิตแห่งจิตวิญญาณ (spiritual being)

แม้ในเวลานี้ ผู้คนจำนวนมากอาจกำลังกลายเป็น “แคสซานดรา” ที่มองโลกด้วยสายตาสิ้นหวัง เราไม่ควรยอมจำนนต่อความท้อแท้และมองโลกในแง่ร้าย ในทางกลับกัน เราสามารถยืนหยัดอย่างมีพลังมากกว่าที่เคย ต้อนรับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างสง่างามและมีอุเบกขา เรารู้ดีว่าป้อมปราการศักดิ์สิทธิ์ตั้งอยู่ตรงไหน และด้วยสิ่งนี้ เราจะสามารถค้นพบ คุณค่า ความหมายและความมหัศจรรย์ในชีวิตประจำวัน เราสามารถเชื่อมั่นว่า เรามีบทบาทสำคัญกว่าที่เคยเป็นในโลกใบนี้ เมื่อเราหลบภัยในป้อมปราการศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามนี้ เราสามารถกลายเป็นแหล่งกำเนิดแห่งความดีงาม สันติ และการเยียวยาแก่สรรพชีวิตทั้งปวง

สถาบันวัชรสิทธา ก่อตั้งขึ้นเพื่อเป็นพื้นที่ทดลองทางการศึกษา บนพื้นฐานของการภาวนา การใคร่ครวญด้วยใจ และการแลกเปลี่ยนประสบการณ์อย่างเป็นมนุษย์ระหว่างผู้เรียน