บทความโดย คณพล วงศ์วิเศษไพบูลย์
ภาพประกอบโดย Nakkusu
บทสะท้อนประสบการณ์จากชั้นเรียน “โลจองภายใน” กับ เอลิซาเบธ โอมสเตท ณ วัชรสิทธา
เมื่อแรกเริ่มรู้จักกับธรรมะ เราอาจพบว่าโลกนี้เต็มไปด้วยคำสอนหลากหลายรูปแบบ มีหนังสือมากมายที่รอให้เราค้นพบและศึกษา มีเทคนิคปฏิบัตินับไม่ถ้วนที่สามารถฝึกฝนและนำมาใช้ในชีวิต ยิ่งสำรวจลึกลงไปในโลกแห่งพุทธธรรมมากเท่าไร เราก็ยิ่งพบว่ามันเต็มไปด้วยความลึกซึ้งของคำสอน วิถีปฏิบัติ และภูมิปัญญามากมายในสายธรรมที่สืบทอด
เมื่อเวลาผ่านไป เราเริ่มทดลองปฏิบัติและนำเอาธรรมะเข้ามาอยู่ในชีวิตประจำวัน เราอาจค่อยๆ เกิดความเข้าใจว่าธรรมะไม่ใช่แค่ตัวอักษรในหนังสือ หรือเรื่องเล่าจากคนอื่น แต่มันเป็นสิ่งที่อยู่ในประสบการณ์ของเราเอง ถึงจุดหนึ่ง ความสนใจที่เรามีต่อคำสอนภายนอกอาจลดน้อยลง และเริ่มสนใจในชีวิตของตัวเอง และสิ่งที่เข้ามาสัมผัสกับหัวใจของเรามากขึ้น
ในคลาส “โลจองภายใน” เอลิซาเบธอธิบายว่า คำสอนในพุทธศาสนามีมากมายถึง 84,000 รูปแบบ ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็นสองประเภท 1.คำสอนวิธีการชำระสิ่งกั้นขวาง (Method Teaching) 2.คำสอนชี้ตรงไปยังจิตตื่นรู้ (Pointing Out Teaching) คำสอนประเภทแรกเป็นเพียงพาหนะชั่วคราวที่จะพาเราไปสู่ประสบการณ์ตรงของความตื่นรู้ เมื่อถึงจุดหนึ่งเราต้องปล่อยจากวิธีการ เพื่อพักอยู่กับความตื่นรู้
จากมุมมองนี้ จะเห็นได้ว่าการศึกษาธรรมะมีหัวใจอยู่ที่ประสบการณ์ตรงของเราเอง ซึ่งนี่คือความหมายของการเรียนรู้ระดับ “ภายใน” เอลิซาเบธเสริมว่า โศลกทั้ง 59 ข้อ ล้วนเป็น “คำแนะนำ” หาใช่กฏเหล็กตายตัวที่เราต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด หากโศลกไม่ได้เข้ามาสัมผัสกับใจเราจริงๆ ก็ไม่จำเป็นจะต้องนำมาปฏิบัติ
เชื่อในพยานคนแรก เชื่อในประสบการณ์ของตัวเอง
จุดเปลี่ยนที่สำคัญอย่างยิ่งจาก การเรียนรู้ธรรมะภายนอก สู่ธรรมะภายใน อาจอธิบายได้ผ่านโศลกโลจองหนึ่งที่กล่าวว่า “ระหว่างพยานทั้งสอง ให้ยึดเอาพยานแรก”
หากมีคนมาถามว่า ใครคือคนที่รู้จักเรามากที่สุด? ใครที่รู้ว่าลึกลงไปในใจ เรากำลังรู้สึกอย่างไรต่อสิ่งต่างๆ? คนๆ นั้นคือแฟน พ่อแม่ เพื่อนสนิท หรือคุรุ?
คำตอบคือไม่ใช่เลย ไม่มีใครนอกจากตัวของเราเองที่รู้จักและสัมผัสประสบการณ์ที่เรามีได้อย่างแท้จริง เอลิซาเบธ กล่าวในห้องเรียนว่า “แม้เราจะโพสต์รูปสวยๆ ชีวิตดีๆ ลงโซเชียลมีเดีย แต่สุดท้ายก็มีเพียงเราคนเดียวเท่านั้น ที่รู้ว่าข้างในใจเรากำลังรู้สึกอะไรอยู่”
จากความจริงในข้อนี้ เอลิซาเบธจึงหยิบเอาโศลกข้อนี้มาเน้นย้ำกับพวกเราในคลาสนี้ ซึ่ง “พยานคนแรก” ก็คือตัวของเราเอง เพราะเราคือบุคคลแรกที่รับรู้ประสบการณ์ในชีวิตของเรา การเชื่อในพยานคนแรก จึงหมายถึงการให้คุณค่ากับประสบการณ์ตรง ความรู้สึก และปัญญาญาณของตัวเอง
เอลิซาเบธแนะนำว่า ในโลกการเรียนรู้ทางจิตวิญญาณ คำสอนหรือวิถีปฏิบัติบางแบบอาจได้รับความนิยมจากคนจำนวนมาก แต่เราไม่มีความจำเป็นที่จะต้อง FOMO ไปเรียนสิ่งเหล่านั้นเพราะกลัวตกเทรนด์ หรือหากเราสนใจจริงๆ แต่เมื่อลองไปเรียนรู้แล้วไม่ได้รู้สึกเชื่อมโยงกับวิถีนั้น ก็ไม่จำเป็นต้อง “ฝืน” ความรู้สึกของตัวเอง เพื่อทำในสิ่งที่คนอื่นๆ แนะนำว่าดี
นอกจากธรรมะแล้ว หลักการนี้ยังใช้ได้กับชีวิตทั่วไปด้วย เราเชื่อในสิ่งที่เวิร์กกับเรา มีประโยชน์กับเรา โดยไม่ต้องเปรียบเทียบตัวเองกับใคร เธอกล่าวว่า “เราอาศัยอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยค่านิยมและมุมมองที่มีอิทธิพลต่อชีวิต แต่เรามีสิทธิ์ที่จะไม่เชื่อในสิ่งเหล่านั้น และกลับมาฟังเสียงของพยานคนแรกในใจ” การวางใจในพยานคนแรกคือการเชื่อมต่อกับตัวเอง ซื่อสัตย์กับตัวเอง และซื่อสัตย์กับประสบการณ์ตรงของเรา
เราต่างมีธรรมชาติแห่งความโดดเดี่ยว
คำสอนเรื่องพยานคนแรก ชี้ให้เราเห็นถึงความจริงที่สำคัญข้อหนึ่งของชีวิต นั่นคือเราแต่ละคนล้วนโดดเดี่ยว ไม่มีใครสามารถเข้าใจเราได้อย่างแท้จริงนอกจากตัวเราเอง นับตั้งแต่การเกิด มีชีวิตที่พานพบกับสุขและทุกข์ ไปจนถึงความตาย ทุกประสบการณ์ก็ล้วนสิ่งที่เราต้องเผชิญเพียงลำพัง
ข้อเท็จจริงนี้อาจไม่ใช่เรื่องใหม่ ทว่าการจะยอมรับมันอย่างแท้จริงกลับเป็นสิ่งที่แสนยากเย็น มนุษย์เรามักพยายามทุกวิถีทางที่จะไม่ให้ตัวเองรู้สึกโดดเดี่ยว มันเป็นความกลัวบางอย่างที่ฝังอยู่ลึกๆ ภายใน เอลิซาเบธกล่าวว่า “ความกลัวที่จะโดดเดี่ยวทำให้เรามองไม่เห็นธรรมชาติที่แท้จริงของตัวเอง” เพราะเรามักจะมองออกไปข้างนอก ผูกตัวเองกับเพื่อน คนรัก ครูอาจารย์ เป้าหมายในชีวิต หรืออาชีพการงาน ความพยายามเหล่านี้ล้วนเป็นการหนีความจริงข้อพื้นฐานที่สุดของชีวิต ทว่าจุดเริ่มต้นของการเห็นธรรมชาติที่แท้จริงของเรานั้น จำเป็นจะต้องมองไปยังความจริงภายใน นั่นคือการหันกลับเข้ามามองผ่านความโดดเดี่ยวของพยานคนแรก
การยอมรับความโดดเดี่ยว ไม่ใช่เรื่องของความฉลาดทางสมอง มันไม่ใช่เรื่องของการทำความเข้าใจ แต่เป็นเรื่องของความกล้า กล้าที่จะกระโจนออกไปสู่พื้นที่ที่ไร้หลักยึด เชอเกียม ตรุงปะ เคยมอบคำสอนเอาไว้ว่า “Take your own seat” หรือก็คือการนั่งบนบัลลังก์ชีวิตของตน มีเพียงการกลับมานั่งในชีวิตของเราเองเท่านั้น ที่จะทำให้เราสัมพันธ์กับโลกและตัวเองได้อย่างตรงไปตรงมา เพราะมันคือการยอมรับในตัวเอง กรรม และสิ่งที่หล่อหลอมเราขึ้นมาทั้งหมด ซึ่งจะช่วยปลดปล่อยเราออกจากความคาดหวังต่างๆ ทั้งของตัวเองและคนอื่นไปพร้อมกัน
ความล้ำค่าของชีวิตมนุษย์
แม้เราจะโดดเดี่ยว แต่การได้เกิดมาในชีวิตมนุษย์ที่มีร่างกายครบถ้วน มีอาหารกิน มีบ้านพัก และมีการรับรู้ที่ไม่บกพร่อง คือสิ่งที่ชาวทิเบตเรียกว่า “ความล้ำค่าของการเกิดเป็นมนุษย์” ซึ่งเป็นหนึ่งในคำสอนเรื่องข้อเตือนใจสี่ประการ
จากมุมมองของวัชรยาน การยอมรับความโดดเดี่ยว พร้อมกับมองเห็นถึงความล้ำค่าของการเกิดเป็นมนุษย์ ทำให้เรามีความเป็นไปได้ที่จะตื่นรู้ภายในชีวิตนี้ และนั่นเป็นสิ่งที่ทรงพลังอย่างยิ่งต่อการเสริมสร้างแรงบันดาลใจในการปฏิบัติของเราเอง เอลิซาเบธยกเอาคำสอนของ Tsikey Chokling Rinpoche ที่กล่าวถึงความเป็นไปได้อันยิ่งใหญ่ที่สามารถเกิดขึ้น หากเรามีความจริงใจในการปฏิบัติว่า “เมื่อครูที่จริงแท้ มอบคำสอนที่จริงแท้ แก่นักเรียนที่จริงแท้ ผู้ซึ่งนำไปปฏิบัติอย่างจริงแท้ เมื่อนั้นผลลัพธ์ที่จริงแท้จะปรากฏ”
พุทธศาสนาเป็นศาสนาแบบอเทวนิยม ซึ่งมีเอกลักษณ์ตรงที่อธิบายว่า โลกนี้ไม่มีพลังอำนาจพิเศษหรือบุคคลบนฟ้าใดๆ ที่สามารถช่วยให้เราเข้าถึงการรู้แจ้งได้ นอกจากตัวของเราเอง การตระหนักรู้ถึงความจริงในข้อนี้ อาจทำให้เรารู้สึกโดดเดี่ยว ท้อแท้ ทว่าในขณะเดียวกันเราก็มีชีวิตมนุษย์ที่เปี่ยมด้วยศักยภาพแห่งการตื่นรู้ มันจึงเป็นความรู้สึกสองขั้วที่สามารถปรากฏขึ้นในใจเราพร้อมๆ กัน
เอลิซาเบธเน้นย้ำกับพวกเราว่า การยอมรับทั้งความโดดเดี่ยวและศักยภาพในการตื่นรู้ แท้จริงเป็นสิ่งที่เรียบง่ายในชีวิตมนุษย์ เพราะคือการมีความรับผิดชอบต่อชีวิตของตัวเอง เมื่อเรามีมุมมองที่ถูกต้องต่อชีวิตนี้ของเรา มุมมองนั้นจะค่อยๆ พาเราไปสู่การมองเห็นธรรมะในประสบการณ์ชีวิต เป็นเส้นทางภายในที่เผยออกจากเมล็ดพันธุ์กรรมอันเฉพาะตัวของเรา ซึ่งเป็นโอกาสให้เราได้เรียนรู้ และตื่นอยู่ในชีวิตตัวเองยิ่งขึ้น ดังที่เธอได้กล่าวทิ้งท้ายว่า
“เส้นทางธรรมะไม่ใช่การเรียนรู้ทุกหลักธรรมคำสอน แต่คือการมีประสบการณ์ตรงกับธรรมชาติแห่งพุทธะในตัวเราเอง ความก้าวหน้าบนเส้นทางจิตวิญญาณไม่ได้มาจากการเรียนรู้สิ่งต่างๆ ให้มากที่สุด แต่มาจากการรู้จักตัวเองมากขึ้นกว่าเดิม”