Seeing Things As They Are: สัมผัสสุนทรียภาพจากมุมมองภาวนา ด้วยการเห็นสิ่งต่างๆอย่างที่เป็น

บทความโดย ดิเรก ชัยชนะ

ที่มาภาพ : Cmonphotography จาก Pexels

ในการภาวนา เรานั่งเฉยๆอย่างผ่อนคลาย และฝึกกับความแม่นยำ ไม่ว่าความคิดหรืออารมณ์อะไรเกิดขึ้น เรารับรู้ จากนั้นก็ปล่อย เราฝึกที่จะรับรู้อย่างซื่อๆ ไม่ว่ากับความคิด อารมณ์ หรือความรู้สึกต่างๆที่เกิดขึ้น โดยจะไม่ตัดสิน หรือแยกแยะว่าความคิดหรืออารมณ์ที่เกิดขึ้นเหล่านั้น ดี-ไม่ดี ควร-ไม่ควร เพราะเมื่อมีการตัดสินหรือแบ่งแยกเกิดขึ้นก็จะนำไปสู่ “การคิดซ้อนคิด” เป็นเรื่องเล่าต่อเนื่องที่ซับซ้อนขึ้นไปอีก

การที่ฝึกรับรู้สิ่งต่างๆอย่างไม่ซับซ้อน รับรู้สิ่งต่างๆอย่างที่มันเป็นโดยไม่ผ่านม่านความคิดหรืออคติ อย่างที่เราฝึกภาวนากัน ทำให้นึกถึงคำหนึ่งเวลาที่ผมสอนจัดดอกไม้ นั่นคือคำว่า “การเห็นสิ่งต่างๆอย่างที่เป็น” (Seeing Things As They Are) ที่ท่านเชอเกียม ตรุงปะพูดถึงในหนังสือเรื่อง True Perception

ขณะที่เราภาวนาเรากำลังบ่มเพาะทัศนคติของความเปิดกว้าง…

เรานั่งเฉยๆ เมื่อมีอะไรขึ้นมาเราก็รับรู้ เมื่อเรามีแม่นยำมากพอ เราก็มีศักยภาพที่จะเข้าไปทำความเข้าใจมากขึ้น เราสามารถที่จะเข้าไปอยู่กับอารมณ์นั้น อยู่กับประสบการณ์นั้นแล้วสังเกตมันได้ว่า

“คุณลักษณะของอารมณ์หรือประสบการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นเป็นอย่างไร?”

แต่สิ่งสำคัญของการเข้าไปสังเกตก็คือ “เราไม่สร้างมันเพิ่ม” เราก็แค่อยู่กับสภาวะอารมณ์ตรงนั้นอยู่กับประสบการณ์ตรงนั้นอย่างที่มันเป็น

ศักยภาพที่เราบ่มเพาะบนเบาะภาวนา เมื่อถึงเวลาที่นำมาสู่การสร้างสรรค์ก็สอดคล้องในทิศทางเดียวกัน เวลาที่เราเห็นดอกกุหลาบ มันง่ายมากที่เราจะเห็นดอกกุหลาบไม่ใช่ดอกกุหลาบ

ที่มาภาพ : Samer Daboul จาก Pexels

“เราอาจจะเห็นความคิด ‘วันวาเลนไทน์’ ‘ความรัก’ หรือ สีแดงของดอกกุหลาบที่อาจจะไปเชื่อมโยงกับประสบการณ์บางอย่างที่เรามีในอดีตที่อาจจะมี Storyline หรือมีเรื่องเล่าบางอย่างเกิดขึ้น”

ซึ่งเวลาที่เราคิดแบบนี้เราก็จะไม่ได้เห็นดอกกุหลาบเป็นดอกกุหลาบนั่นเอง  

การสร้างสรรค์บนพื้นฐานของการภาวนาคือการฝึกที่จะเห็นสิ่งต่างๆอย่างที่มันเป็น ตัวอย่างเช่นเวลาที่เราจัดดอกไม้ เมื่อเราหยิบดอกไม้ เราเห็นดอกไม้ จากนั้นเราใช้การสังเกตเพื่อได้เห็นสีสันทิศทางด้านหน้า ด้านหลัง หรือน้ำหนักของกิ่งไม้และดอก เราเข้าไปทำความเข้าใจคุณลักษณะของดอกไม้ต่างๆอย่างที่มันเป็น เมื่อเราเห็นความงามอย่างที่มันเป็น เราจึงสามารถชื่นชมและจัดวางแสดงความงามอย่างที่มันเป็น การจัดวางที่เกิดขึ้นเช่นนี้ไม่ได้มาจากสิ่งที่เราอยากให้เป็นว่าจะหันทิศทางไปตามที่เราต้องการ ดังนั้นเมื่อพูดถึง Seeing Things As They Are จึงหมายรวมถึงการทำความเข้าใจสิ่งต่างๆนั้นด้วยเสมอ

นอกจากนี้ ช่วงเวลาที่เราจัดดอกไม้ เรากำลังเรียนรู้ที่จะเห็นสิ่งต่างๆตามความเป็นจริงโดย ใช้พืชเป็นวัตถุของการฝึก เป็นช่วงเวลาที่เราสัมพันธ์กับความคิด Concept หรือ ความต้องการของเราที่จะจัดวางพืช การฝึกนี้ก็คือการทำงานกับท่าทีของ “การปล่อยให้มันเป็น”  หรือ “Letting Go” ซึ่งก็คือการยอมรับ และการเปิดกว้างต่อสิ่งต่างๆ

“เมื่อเราหยิบกิ่งไม้ขึ้นมาสักกิ่งเพื่อที่จะจัดวาง เราใช้การสังเกตทำความเข้าใจด้านไหนคือด้านหน้าและด้านหลังของพืชชนิดนี้ ทิศทางของใบที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติมีลักษณะอย่างไร วางตัวอย่างไร เพื่อที่เราจะได้จัดวางตามแบบที่มันเป็นได้ ยอมรับอย่างที่มันเป็น และจัดวางให้งามอย่างที่มันเป็น”

สุนทรียภาพที่เกี่ยวข้องกับการภาวนาก็มาจากทัศนคติหรือมุมมองแบบเช่นเดียวกัน ด้วยทัศนคติของความเปิดกว้าง ทัศนคติของการปล่อยให้เป็น ทัศนคติของการยอมรับอย่างที่มันเป็น เราจึงจะเห็นสิ่งต่างๆอย่างที่มันเป็นได้ และสามารถจัดวางสิ่งต่างๆอย่างที่มันเป็นได้ ในการทำงานกับมิติทางด้านสุนทรียะหรืองานศิลปะต่างๆที่อยู่บนพื้นฐานของการภาวนาด้วยมุมมองเช่นนี้ เราเรียกว่า ธรรมศิลป์ ดังที่ท่าน เชอเกียม ตรุงปะได้กล่าวถึง โดยมีพื้นฐานสำคัญก็คือการเห็นสิ่งต่างๆอย่างที่มันเป็น (Seeing Things As They Are)  มุมมองแบบนี้สามารถที่จะนำไปใช้ได้กับการสร้างสรรค์ทุกแบบไม่ว่าจะเป็นการจัดดอกไม้ ถ่ายภาพ รวมถึงศิลปะในชีวิตประจำวัน

ภาพ : เชอเกียม ตรุงปะ รินโปเช
ที่มาภาพ Shambhala Publications

นอกเหนือจากมิติทางด้านสุนทรียะ “การเห็นสิ่งต่างๆอย่างที่มันเป็น” (Seeing Things As They Are) ยังสามารถเชื่อมโยงมาใช้ในเรื่องของความสัมพันธ์ได้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เราสัมพันธ์กับความขัดแย้งต่างๆที่เกิดขึ้น เราจะเห็นสิ่งต่างๆอย่างที่มันเป็นหรือไม่ หรือเราจะเพิ่มเรื่องราวในอดีตเข้าไปให้เข้มข้นขึ้น หรือเราจะเพิ่มอนาคตเข้าไปใน Storyline กับสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในตอนนั้น

• เราจะ “แค่อยู่ตรงนั้น” เพื่อจะเข้าใจแง่มุมต่างๆอย่างตรงไปตรงมาซื่อๆ ได้หรือไม่?

• เราจะ “แค่อยู่ตรงนั้น” เพื่อจะรับรู้ให้มันรอบด้าน ได้หรือเปล่า?

นี่ก็เป็นเรื่องของ Seeing Things As They Are หรือการเห็นสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นอย่างที่มันเป็น เราสามารถนำมุมมองนี้ไปใช้ได้ในชีวิตประจำวัน

“เราไม่ได้เพิ่มเติมอะไรเข้าไป เราเห็นอย่างที่มันเป็น

เพื่อจะสัมพันธ์กับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าอย่างเต็มที่และรอบด้าน”