บทความโดย THANYA วัชรสิทธา
พื้นที่เป็นสิ่งที่หายากยิ่งในเมืองใหญ่เช่นกรุงเทพฯ ที่เราอยู่ และยิ่งดูแปลกใหม่มากขึ้นเมื่อพื้นที่นั้นเป็นที่ว่างๆ กลางเมืองที่ให้เข้าไปนั่งเฉยๆ ในพื้นที่ไม่ได้มีอะไรพิสดาร เปิดบริการให้คนเข้ามานั่งใช้เวลาอยู่กับตัวเอง เช่นนี้อยู่บ้านก็ทำได้หรือเปล่า? แต่เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมานี้ เราพบว่า ความเป็นพื้นที่ ความเป็นสถานที่แห่งนั้น ให้อะไรกับตัวเรามากกว่าที่คิดอย่างน่าประหลาดใจ
อวโลกิตะ พื้นที่เพื่อการนั่งภาวนาที่เปิดให้ทุกคนเข้ามานั่งใช้เวลากับตัวเองและความว่าง ในย่านสาทร ใจกลางกรุงเทพฯ เปิดทำการให้ผู้คนได้เข้ามานั่งได้ระยะหนึ่งแล้ว และเมื่อวันอาทิตย์ที่ 8 พ.ค. ที่ผ่านมา ได้มีการจัดกิจกรรมทอล์คครั้งแรก โดยอาจารย์ตุล คมกฤช อุ่ยเต็กเค่ง ในหัวข้อ “แก้วมณีดวงไหนในดอกบัว” การเข้าร่วมกิจกรรมนี้ก็เป็นครั้งแรกที่เอาตัวเองเข้าไปในพื้นที่อวโลกิตะแห่งนี้ โดยเริ่มต้นจากการนั่งภาวนา ท่องมนตร์โอม มณี ปัท เม หูม จากนั้นจึงเข้าสู่การบรรยายและแลกเปลี่ยนกัน และจบด้วยการแผ่เมตตา ก่อนออกไปที่ดาดฟ้าชมวิวกรุงเทพยามค่ำคืน
ด้วยความแปลกใหม่ การเดินเข้าไปในตึก เข้าไปในห้องภาวนาเป็นไปอย่างประดักประเดิด แต่เมื่อหย่อนตัวลงนั่ง ลอบมองผู้คนรอบๆ และปรับลมหายใจที่เหนื่อยหอบจากการขึ้นบันไดเป็นปกติเรียบร้อย ความขัดเขินตอนแรกก็ค่อยๆ กลายเป็นความสงบภายในบางอย่าง ที่ตอนนั้นเองก็ยังอธิบายไม่ถูก เรารับรู้ได้ถึงผู้คนรอบๆ และรับรู้ถึงความอบอุ่นของสถานที่แห่งนี้ ที่ราวกับว่าเชื้อเชิญให้นั่งลงสิ นี่คือที่ให้เธอพักได้แล้ว หลังจากได้ดื่มด่ำกับบรรยากาศนี้ ก็เข้าสู่การท่องมนตร์ และนั่นเป็นความวิเศษสุดในประสบการณ์ของค่ำคืนนี้
เสียงภาวนามนตราหกพยางค์
โอม มณี ปัท เม หูม
โอม มณี ปัท เม หูม
โอม มณี ปัท เม หูม
โอม มณี ปัท เม หูม
คืนนั้นเป็นครั้งแรกที่ได้ยินมนตร์บทนี้ และแน่นอนเป็นครั้งแรกที่ได้ท่องมนตร์ไปพร้อมๆ กับทุกคนในห้องภาวนา ซึ่งเหมือนเป็นการร้องเป็นทำนองเพลง รอบละสี่ครั้งจึงจบหนึ่งทำนอง ตอนแรกที่ร่วมร้อง เราต้องเรียนรู้คำ เรียนรู้ทำนองให้สอดประสานไปกับทุกคน และร้องซ้ำวนไปเรื่อยๆ ราว10 นาที ในตอนนั้นเอง ตัวเราเกิดประสบการณ์ที่แปลกใหม่อันน่าประทับใจมาก ราวกับเป็นภาวะเวทมนตร์บางอย่างที่ใช้ความรู้ที่มีมาก่อนอธิบายไม่ได้
เรารับรู้ได้ถึงผู้อื่นที่สวดภาวนาไปพร้อมกับเรา จากการได้ยินเสียง สัมผัสได้ถึงคลื่นพลังที่ออกมา หากเราเงี่ยหูไปฟังคนด้านซ้าย ก็จะรับรู้ได้ถึงคนคนนั้น หากไปทางด้านขวา ก็รับรู้ถึงอีกคนหนึ่ง และในเวลาเดียวกันนั้นเราก็รับรู้ได้ถึงพลังงานของทุกคนในห้องภาวนาแห่งนี้ แม้แต่คนที่นั่งเงียบ เราก็ยังรับรู้ถึงเขาผ่านความเงียบที่แสดงออกมา ส่วนตัวเราเองก็เป็นส่วนหนึ่งของทุกคน การส่งเสียงออกไปประสานกับเสียงผู้อื่นในทำนองเดียวกันถ้อยคำเดียวกันทำให้เกิดความรู้สึกว่าเรากำลังสอดประสานกับผู้อื่น กำลังนำตัวเองให้ไปอยู่ในสายธารอันงดงามร่วมกับทุกคน มนตร์โอมมณีปัทเมหูมที่ดังอยู่นี้ มีเสียงของเรา เสียงของคนที่อยู่ในพื้นที่นี้กับเรา เสียงหายใจ เสียงระฆัง เสียงบรรยากาศห้อง ห้วงเวลานี้ก่อความรู้สึกที่ท่วมท้นมาก และยังรู้สึกเหมือนข้างในของเราสั่นไหว ซึ่งสิ่งนี้เองเป็นความรู้สึกที่แปลกใหม่มาก ประสบการณ์นี้ที่ทำให้ตระหนักถึงพลังแห่งสถานที่ที่ไม่มีอะไรมาทดแทนได้ พลังเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้เมื่อเราเอาตัวเองเข้ามานั่ง ณ อวโลกิตะในห้วงเวลานั้นเท่านั้น และได้กลายเป็นความวิเศษที่ประทับลงในใจ ผ่านไปสองสามวันก็ยังนึกถึง
ต่อมาในส่วนของการบรรยายของอาจารย์ตุลทำให้เราได้รู้ความหมายของมนตราหกพยางค์นี้ ที่แปลความออกมาเป็นภาษาไทยได้ว่า “โอม ดวงมณีในดอกบัว” ซึ่งฟังดูก็จะงงในความหมาย เราจะท่องคำว่าโอม ดวงมณีในดอกบัววนไปหลายๆ รอบทำไมกัน ที่มาของมนตร์บทนี้ อาจารย์ตุลเล่าว่ามาจากคัมภีร์หนึ่งในมหายาน เป็นมนตร์ของพระอวโลกิเตศวร เริ่มจากโอม เสียงศักดิ์สิทธิ์ที่เรารู้จักกันดี มณีคือดวงแก้ว เป็นตัวแทนของการทำงานของพระอวโลกิเตศวรกับผู้คน และดอกบัวคือตัวแทนของปัญญาที่มาจากความว่าง และคำสุดท้ายหูม เสียงศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นตัวแทนของการรวมกันของปัญญาและกรุณา ดังนั้นมนต์จึงเป็นการค่อยๆใช้คลื่นเสียงทำงานกับจิตของเราตามแบบพุทธศาสนา นั่นคือการที่เราพูดกับตัวเองว่าเรามีดวงมณีอยู่ในใจ
“เรากำลังบอกว่าเรามีดวงมณีอยู่ดวงหนึ่งในใจเรา และดอกบัวนั้นก็คือหัวใจของเรา มันอยู่ตรงนี้ และเรากำลังพูดกับตัวเราในจิตใต้สำนึกของเราว่า เรามีดวงแก้วอันนั้นอยู่ ในความรู้สึกว่าเราเป็นคนไม่ได้เรื่องเลย ห่วยแตก เราเต็มไปด้วยความโกรธความเกลียด เราเต็มไปด้วยอะไรสารพัด แต่ลึกๆ แล้วในหัวใจเรามีดวงแก้วมณีอันนี้อยู่ และเราก็บอกกับจิตใต้สำนึกเราซ้ำไปซ้ำมา จนกระทั่งวันหนึ่งดวงแก้วอันนั้นก็ประจักษ์แก่ตัวเราและนั่นเป็นการที่มนตร์หกพยางค์มันทำงาน”
– คมกฤช อุ่ยเต็กเค่ง
หลังจากได้รับรู้ความหมายของมนตร์บทนั้น เราก็ยิ่งประทับใจในความอ่อนโยนที่พลังแห่งการภาวนามีต่อเรา ใจเราถูกปลอบประโลมด้วยความกรุณาที่เรามีต่อตัวเองและพลังจากการภาวนาร่วมกับผู้อื่น เหมือนแม่ลูบหลังกล่อมนอน ลูบไปลูบมาด้วยความรักและความอ่อนโยนจนเด็กสบายใจและหลับไป ความรู้สึกนี้ยิ่งทำให้ข้างในตื้นตัน จนเอ่อออกมาเป็นน้ำตาแห่งความซาบซึ้งที่เราเองก็ไม่รู้ว่ามันไปถึงตรงนั้นได้อย่างไร
สัมพันธ์กับพื้นที่ สัมพันธ์กับผู้คน
ในช่วงทอล์คของอาจารย์ตุล บรรยากาศการบรรยายและการแลกเปลี่ยนเป็นไปโดยธรรมชาติและงดงาม ผู้เข้าร่วมแลกเปลี่ยนเปิดตัวเองออกมาแก่คนในห้อง ผู้คนในห้องเปิดรับความเป็นอื่นเหล่านั้นเข้ามา สัมผัสได้ถึงพลังของพื้นที่จากการเชื่อมต่อของผู้คนที่ส่งต่อความรู้สึก ความคิดที่ต้องการจะแลกเปลี่ยนกัน ไม่ว่าจะในประเด็นที่อาจารย์ตุลบรรยายเรื่องของพระอวโลกิเตศวรที่เป็นพระโพธิสัตว์ผู้ฉุดช่วยสรรพสัตว์ ในแบบมหายานคือความกรุณาทั้งหมดของพระพุทธเจ้า กล่าวคือความกรุณาทั้งหมดของพระพุทธเจ้าทั้งในอดีตปัจจุบันอนาคต ปรากฏเป็นรูปลักษณ์ออกมาเป็นพระอวโลกิเตศวร อาจารย์ตุลเล่าว่า การมีอยู่ของอวโลกิเตศวรเป็นสภาวะซึ่งมีอยู่ในตัวทุกคน เพราะความกรุณาเป็นคุณสมบัติของสิ่งมีชีวิตพื้นฐานต่างๆ พูดง่ายๆ คือเราทุกคนก็เป็นอวโลกิเตศวร และเราก็มีความกรุณาต่อกันและกัน ผู้เข้าร่วมก็ได้ร่วมแบ่งปันประสบการณ์เรื่องราวของตนเอง มีทั้งเรื่องประสบการณ์ที่ตัวเองมีกับมนต์ที่ได้ท่องไป เรื่องราวความเชื่อมโยงของตนต่อพระอวโลกิเตศวร แบ่งปันความรู้สึกของประสบการณ์การเข้ามาอยู่ในพื้นที่ในวันนี้ เรื่องราวที่มาจากต่างที่มา ต่างประเด็น เชื่อมร้อยกันด้วยการที่แต่ละคนสัมพันธ์กับพระอวโลกิเตศวรและพร้อมที่จะเปิดตัวมอบความรักความกรุณาประกอบกับบรรยากาศของค่ำคืนนั้น ถักทอให้เกิดเป็นพลังอันงดงามแก่พื้นที่ที่หลายคนสัมผัสได้
ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นได้ในการเข้ามาอยู่ในพื้นที่อีกเช่นกัน เราไม่อาจรับรู้พลังเหล่านี้จากการรับชมผ่านหน้าจอได้เลย ไม่ว่าจะเป็นแบบไลฟ์หรือดูย้อนหลัง ในช่วงสถานการณ์โควิดที่ผ่านมา คนต้องอยู่บ้านและทำทุกอย่างผ่านออนไลน์จนเกิดเป็นความเคยชิน แต่อย่างไรก็ตาม การนำตัวเองไปอยู่ในพื้นที่ก็ยังให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกันอย่างทดแทนไม่ได้ พลังของมนุษย์ที่เชื่อมโยงถึงกันต้องอาศัยการเข้ามาอยู่ในพื้นที่เดียวกันจริงๆ
ประสบการณ์ต่อพื้นที่อวโลกิตะครั้งนี้กลายเป็นภาพประทับในใจที่งดงามมากที่สุดอันหนึ่ง ด้วยความแปลกใหม่ ทั้งด้านประสบการณ์ต่อพื้นที่และประสบการณ์ภายในตัวเอง แม้ในครั้งนี้เรายังเก็บเกี่ยวไปได้แค่เศษเสี้ยวหนึ่งจากสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด แต่ก็รู้สึกขอบคุณทุกสิ่งที่ทำให้เราได้ไปอยู่ที่ตรงนั้น ณ เวลานั้น และจะนำตัวเองเข้าไปอยู่ในพื้นที่นั้นอีกแน่นอน