
ชำระล้าง (Purification)
หลังจากได้ทำความรู้จักกับโลกพลังงานมาตลอดครึ่งเช้า หลังจบกลางวัน อ.อุ๊ กฤตยา ศรีสรรพกิจ ก็ชวนเราทุกคนมานอนกลางวันกัน แต่นี่ไม่ใช่การนอนกลางวันธรรมดา เพราะเรามีคริสตัล 3 ชนิดมาช่วยชำระล้างพลังงาน ตัดสัญญาณรบกวน ให้เรากลับมาเชื่อมต่อกับตัวเอง และสามารถเชื่อมต่อกับพลังงานต่างๆ ได้ดีขึ้น ซึ่งเป็นหลักการเดียวกันกับการล้างมือ ชำระล้างร่างกายและจิตใจก่อนเข้าไปในศาลเจ้าญี่ปุ่น จะว่าไป นี่ถือเป็นขั้นตอนแรกสุดก่อนไปสัมพันธ์กับพลังงาน เนื่องจากคนไทยอาบน้ำกันวันละ 2 รอบอยู่แล้ว ก็ถือว่าเราได้ชำระร่างกายมาตั้งแต่ก่อนร่วมกิจกรรมเลย
คริสตัล 3 ชนิดที่พี่อุ๊เอามาให้ลอง อันได้แก่ Black Tourmaline, Clear Quartz และ Kunzite ซึ่งถือเป็นคริสตัลชุดเริ่มต้นที่มีคุณสมบัติครอบคลุมสำหรับผู้ที่อยากลองสัมผัสการเยียวยาด้วยพลังของคริสตัล
ลำดับแรก คือ Black Tourmaline ที่วางไว้ที่ปลายเท้า มีคุณสมบัติในการ grounding ทำให้เรายึดโยงอยู่กับพื้นดิน อยู่กับโลก เนื่องจากในปัจจุบันเราใช้ความคิดหรือหัวเยอะมาก นอกจากนี้ยังช่วยดึงพลังงานลบออกจากตัวเรา รวมถึงแปลงพลังงานลบให้เป็นกลางก่อนปล่อยลงพื้นดิน เป็นการช่วยพระแม่ธรณีที่ต้องแปรพลังงานเหล่านี้เสมอด้วย
ลำดับถัดมาคือ Clear Quartz ซึ่งวางบนฝ่ามือทั้ง 2 ข้าง มีคุณสมบัติในการเยียวยาตัวเองและผู้อื่น ถือเป็นคริสตัลเยียวยา หรือ master healer ช่วยจูนพลังงานลบ และล้างสัญญาณกวน ให้ black tourmaline ดึงพลังงานลบได้เร็วขึ้น
ลำดับสุดท้ายกับหินสีชมพูอย่าง Kunzite ที่วางอยู่บริเวณ mental area (ศีรษะไปถึงช่วงอก) มีคุณสมบัติในการตัดความคิดรบกวน ช่วยเสริมการทำงานของหิน 2 ก้อนบนให้พลังงานของเราสะอาดหมดจด ร่างกายผ่อนคลายพร้อมตอบสนองต่อสัญญาณต่างๆ
ภาวะเป็นบวกเป็นลบของพลังงาน
พลังงานที่เราว่าเป็นบวกหรือลบ ไม่ได้เป็นพลังงานบวกหรือพลังงานลบมาตั้งแต่แรก จริงๆ แล้วพลังงานนั้นเป็นกลาง แต่เมื่อสิ่งต่างๆ เข้ามากระทบอายตนะทั้ง 6 (ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) เราก็เกิดการปรุงแต่ง เกิดความคิดตีความว่ามันบวกหรือลบ
พลังงานที่เกิดขึ้นในโลกไม่ได้หายไปไหน แต่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ซึ่งในที่นี้เรามีคริสตัลเป็นตัวช่วยในการแปลงพลังงานให้เป็นประโยชน์แก่เรา นอกจากการชำระล้างและการผ่อนคลายร่างกายที่เป็นเป้าหมายหลักในกิจกรรมแล้ว คริสตัลชุดนี้ยังช่วยให้การนอนของเรามีคุณภาพมากขึ้นจากการที่เราหลับได้ลึกขึ้น สำหรับท่านที่เกิดอาการแขนขากระตุกก็ไม่ต้องตกใจไป อาจารย์มะเดื่อบอกว่ามันเป็นเพราะสมองของเราผ่อนคลายมากจึงหันไปใช้ระบบประสาทอัตโนมัติสั่งการจากกระดูกไขสันหลังแทน มนุษย์ทำงานอย่างเราอาจจะมีหิน black tourmaline ชิ้นน้อยมาตั้งไว้หน้าจอคอมพิวเตอร์ เพราะหินนี้ไม่ได้มีดีแค่ดึงพลังงานลบ แต่ยังสามารถปกป้องเราจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าได้ด้วย
Self-Light
เมื่อเราปราศจากสัญญาณรบกวนแล้ว ขั้นต่อมาคือการเชื่อมโยงกับแสงสว่างในตัวเอง (self-light) เชื่อมโยงกับความศักดิ์สิทธิ์ภายในซึ่งเป็นมิติที่มีอยู่แล้วในมนุษย์ทุกคน ให้เรารวมการตระหนักรู้ไปอยู่ที่สภาวะนั้นเพื่อพร้อมเชื่อมโยงกับมิติอื่นๆ
“จุดเริ่มต้นของการก้าวไปหาเพื่อนต่างมิติ คือการรับรู้ว่าเราคือแสงสว่าง และแสงสว่างนี้กับแสงสว่างที่มาจากที่อื่นๆ ทั้งแสงสว่างที่อยู่ในพระเจ้า แสงสว่างที่อยู่ในเทพทั้งหลาย เป็นแสงสว่างที่มาจากที่เดียวกัน แต่ต่างกัน ความไม่เหมือนกันคือโอกาสในการเติบโตสำหรับเราและเขา โอกาสในการสร้างสิ่งใหม่ที่ไม่เคยมีเมื่อ 2 สิ่งนี้มารวมกัน” อุ๊ กฤตยา กล่าวเสริม
สะพาน
ในการก้าวไปยังอีกมิติ เราจำเป็นต้องมีทางเชื่อม อาจเป็นสะพานหรือประตูที่ทำให้เรารับรู้ว่าเรากำลังเข้าไปสู่อีกที่หนึ่ง ซึ่งเราจะเป็นคนสร้างแผนที่ให้ตัวเอง เป็นผู้นำทางและไปค้นพบด้วยตัวเองตามวิถีของฟินฮอร์นที่ทำให้เรามีประสบการณ์ที่สดที่สุด ไม่ถูกเจือไปด้วยเรื่องเล่าของคนอื่น แก่นสำคัญที่สุดของการสร้างสะพานเชื่อม คือความจริงใจที่จะเข้าไปทำความรู้จัก ไปเรียนรู้โลกอีกมิติ และความเปิดกว้างที่จะให้เขาเป็นอะไรก็ได้ อย่างที่บอกไปตอนต้นว่าเราอาจจะมีภาพจำต่อ being ทั้งหลายแหล่จากสื่อต่างๆ แต่ทั้งหมดนี้ล้วนไม่มีรูปลักษณ์ภายนอกที่ชัดเจน แต่สามารถเปลี่ยนแปลงไปได้ตาม perception ของเรา และเปิดกว้างให้เราเป็นอะไรก็ได้เมื่ออยู่กับเขา สิ่งสุดท้ายคือความรักซึ่งไม่ได้หมายความว่าเราต้องไปรักเขา แต่เป็นเซนส์ของการเชื่อมโยงกับพื้นที่ของความรักที่ทำให้ใจเราเปิดกว้าง
อาจารย์อุ๊ให้เราลองจินตนาการไปตามลำดับ ตั้งแต่ประสบการณ์ของความเปิดกว้าง เป็นหนึ่งเดียวกับสรรพสิ่ง เหตุการณ์หรืออะไรที่เรารู้สึกว่างดงามจนหัวใจแตกสลาย และให้นึกถึงคนที่เรารักจนเราพร้อมจะเปิดรับเขาเข้ามา ทั้ง 3 อย่างนี้เป็นสภาวะที่มักทำให้เรารู้สึกเปิดกว้างและเชื่อมมิติไปโดยไม่รู้ตัว สุดท้ายคือหาจุดร่วมของทั้ง 3 ประสบการณ์เพื่อหาประตูของเรา
บางคนอาจจะเห็นเป็นภาพ รู้สึกถึงแสง ความอุ่น รู้สึกถึงสัมผัส มีอาการทางร่างกาย หรือได้ยินเสียงจากการคิดถึงประสบการณ์เหล่านั้นเป็นสัญญาณ จะมีความเฉพาะตัวของเราเองที่เราควรจดๆ จำๆ ไว้เป็นคลังข้อมูลสำหรับการเชื่อมต่อครั้งต่อไป หากเป็นการเรียนที่ฟินฮอร์นจะใช้เวลาหาวิธีสร้างสะพานแบบที่เราถนัดประมาณ 4-7 วัน ดังนั้นหากเรายังเชื่อมไม่ได้ตั้งแต่ครั้งแรกก็อย่าพึ่งเสียความตั้งใจ การทำซ้ำๆ ให้ตัวเองได้ใคร่ครวญประสบการณ์และสัมผัสภายในที่เกิดขึ้นจะช่วยให้เรามองเห็นแบบแผนบางอย่างของการสร้างสะพาน
“พิธีกรรมช่วยให้เราก้าวเข้าไปสู่อีกสภาวะหนึ่ง อ.ตุล (คมกฤช อุ่ยเต็กเค่ง) เคยบอกว่าปกติก็เป็นคนปกติ แต่พอใส่ชุดของความเป็นพราหมณ์ มันคือการเข้าไปสู่มณฑลของพิธีกรรม เหมือนตอน sacred mountain festival ที่พอเราเริ่มจุดธูปแล้วเคาะระฆัง มันเหมือนปลุกเซนส์ของเราและผู้คน ให้คนเปิดประตูไปพร้อมกัน การทำคนเดียวมันก็มีพลังระดับหนึ่ง แต่พอคนหมู่มากทำพร้อมกัน มันเหมือนระเบิดทะลุมิติ แล้วทุกคนก็รับรู้ต่างกันไปหมด แม้ว่าอาจจะไปที่เดียวกัน” – อุ๊ กฤตยา กล่าว
สิ่งสำคัญคือหลังจากข้ามไปแล้ว เราก็ต้องกลับมายังโลกของเรา เพราะว่ามนุษย์ไม่ได้มีแค่พลังงาน แต่เรามีร่างกายทางกายภาพด้วย เราจึงต้องกลับมาอยู่กับเนื้อกับตัวของเรา อุ๊แนะนำว่าวิธีที่ช่วยได้มากที่สุดคือการกินหรือดื่มน้ำ จะช่วยให้เรา grounding กับร่างกายได้ กลับมาแล้วก็อย่าลืมปิดประตูด้วย เพราะการเปิดกับมิติเหล่านี้ตลอดเวลาไม่ได้ดีกับเรา อย่างที่เราเคยได้ยินคนเล่าว่าโดน being นู่นนี่นั่นมารบกวน บางที being จากโลกนั้นอาจไม่เข้าใจวัฒนธรรมของเราชาวมนุษย์ก็สามารถบอกหรือแนะนำเขาได้ คล้ายๆ กับเวลาไปวัดกับเพื่อนชาวต่างชาติก็ต้องบอกให้เขาถอดรองเท้าก่อนเข้าอุโบสถ
อีกแนวทางหนึ่งที่อาจารย์อุ๊นำเสนอ คือ การเข้าไปรับรู้วัตถุต่างๆ บริเวณชั้นที่จัดกิจกรรม ให้ลองดูว่ามีวัตถุชนิดไหนที่เรียกเรา แล้วลองเข้าไปปฏิสัมพันธ์กับของชิ้นนั้นเหมือนเป็นสิ่งมีชีวิต เมื่อเราทำความรู้จักเพื่อนใหม่ เราคงไม่ได้ดูแค่ว่าเขามีหน้าตายังไง แต่เขามีนิสัยหรือคุณลักษณะใดบ้าง การสัมพันธ์กับพลังงานของเขาผ่านวัตถุก็เป็นอีกวิธีหนึ่งในการสื่อสารกับโลกอีกมิติแบบที่เราไม่ต้องมาสร้างสะพานเอง แต่เริ่มจากสิ่งที่มีอยู่แล้ว

Crystal Empowerment
มาถึงตัวช่วยสุดท้ายที่เราได้ทดลองสัมผัสถึงพลังเยียวยาในตอนต้นแล้ว นั่นก็คือคริสตัลที่ในช่วงหนึ่งเป็นสินค้าที่ฮิตมากๆ ทั้งในกลุ่มดาราและคนธรรมดาอย่างเรา คริสตัลเป็นทรัพยากรทางธรรมชาติที่อยู่กับโลกมานานมากเมื่อเทียบกับอายุขัยของมนุษย์ ดังนั้นจึงเป็นพลังงานที่มีความเสถียรสูงกว่ามนุษย์แปรเปลี่ยนไปในทุกๆ วัน นอกจากหิน 3 ชนิดที่ยกมาตอนต้น ยังมีหินอีกมากมายหลากหลายสีสัน เช่น rose quartz, amethyst, aquamarine พ่วงด้วยสรรพคุณที่แตกต่างกันไป จนเราอาจจะงงงวยได้ว่าฉันควรเลือกหินแบบไหนดี เราจะเลือกตามคุณสมบัติของมัน ความหมายของรูปทรงก็ได้ หรือจะใช้วิธีเดียวกับตอนที่เราเข้าไปคุยกับสิ่งของในห้อง คือเลือกหินชิ้นที่เรียกเรา หรือเราชอบ อยากเข้าไปทำความรู้จัก
คริสตัลพื้นฐานหลายชนิดมีอยู่มากในธรรมชาติทำให้ราคาต่ำเกินกว่าจะปลอมแปลง ดังนั้นเราจะไม่จำเป็นต้องกังวลมากว่าเป็นของเก๊รึเปล่า ยกเว้นว่านั่นเป็นหินแปลกๆ เช่น หินจากอุกกาบาต
ในช่วงสุดท้ายก่อนจบกิจกรรม 2 วันอย่างสมบูรณ์ อุ๊ กฤตยา ให้แต่ละคนเลือก ‘นางฟ้า’ ที่เจียระไนจาก clear quartz คนละ 1 องค์ แต่เราไม่ได้แค่นำนางฟ้ากลับไปตั้งไว้ที่บ้านเฉยๆ เพราะเราจะเป็นผู้ลงมือปลุกเสกด้วยตัวเอง โดยเชื่อมต่อกับความดีงามภายในศูนย์กลางของเรา หรือ self-light ให้พลังของแสงสว่างย้ายไปรวมอยู่ในคริสตัลที่สามารถกักเก็บพลังงานได้นาน ให้ช่วยเหนี่ยวนำแสงสว่างในวันที่เรารู้สึกมืดมนและมองไม่เห็นแสงใดๆ สิ่งที่เราปลุกเสกเองจะยิ่งมีคุณค่า และเข้ากันได้กับพลังงานของเรา เรียกได้ว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในอีกรูปหนึ่งที่ไม่ต้องสะพายสไบ หรือนุ่งโจงกระเบนตามความเชื่อดั้งเดิม สิ่งศักดิ์สิทธิ์จึงไม่จำเป็นต้องเป็นพระพุทธรูป ศาลพระภูมิ เจ้าแม่เท่านั้น ของบางอย่างที่ช่วยให้เราก้าวผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากไปได้ เช่น ตุ๊กตา โมเดลการ์ตูน หรือบุคคลที่คอยสนับสนุนเราอยู่ข้างหลังเสมออย่างครอบครัว เพื่อน หรือครู ก็นับว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ทั้งหมด เพียงแต่ว่าอย่างอื่นจะรักษาพลังงานไว้ได้ไม่นานเท่าไหร่นัก เพราะตัววัตถุไม่เสถียรเท่าคริสตัล
“ของเหล่านี้ก็เทียบกับพระเครื่องในคนยุคเรา พระเครื่องมันมีคุณค่าสำหรับคนบางกลุ่ม แต่ว่าบางครั้งเราก็รู้สึกเชื่อมโยงกับวัตถุในรูปแบบอื่นๆ มากกว่า อะไรที่เรารัก ผูกพัน อะไรที่เราให้คุณค่า ให้ความเคารพ มันก็มีความศักดิ์สิทธิ์ในตัวมันเอง บางอันแค่ดูก็รู้ว่าเป็นของของใครเพราะมันมีหน้าตา มีบุคลิกของคนๆ นั้นสะท้อนออกมา” อาจารย์อุ๊ กล่าว

การนำคริสตัลไปใช้
วิธีนำคริสตัลไปใช้มีหลากหลายมาก อย่างที่คนนำไปสวมใส่เป็นเครื่องประดับก็ใช่ บางคนก็เอาไปประดับบ้าน หรือใช้ประกอบการทำพลังงานบำบัด วางตามจักระต่างๆ บนร่างกาย หรือวางตาม crystal grid หรือ sacred geometry ให้หินแต่ละชนิดช่วยเสริมพลังกัน ซึ่งเป็นศาสตร์ที่ทำมาตั้งแต่โบราณ อีกวิธีหนึ่งที่น่าสนใจคือการเอามาแช่ในน้ำดื่ม ถึงกับมีขวดน้ำแบบพิเศษที่แยกส่วนใส่น้ำกับคริสตัล คล้ายๆ กับกาน้ำชาที่มีตัวกรองใบชา เพราะว่าหินบางชนิดก็ไม่ควรถูกน้ำ
เมื่อเราดื่มน้ำก็จะได้รับพลังงานที่ถ่ายเทมาจากคริสตัลด้วย แม้ว่าคริสตัลจะขึ้นชื่อเรื่องความเสถียรและสามารถชำระล้างตัวเองได้ เราอาจช่วยให้กระบวนการนั้นเกิดไวขึ้นโดยวิธีการต่างๆ โดยเฉพาะวิธีทางธรรมชาติที่ทำให้ชำระล้างได้เร็วขึ้น เช่น นำไปอาบแสงจันทร์ ในคืนพระจันทร์เต็มดวงเป็นคืนที่จะได้รับพลังงานมากที่สุด แต่ใช่ว่าคืนอื่นจะไม่ได้รับพลังงานเลย เมื่อมีวิธีอาบแสงจันทร์แล้ว ก็ต้องมีการนำไปอาบแสงอาทิตย์ด้วย แต่เป็นวิธีที่คนไม่นิยมเท่าไหร่เพราะจะทำให้คริสตัลสีซีดลง บ้างก็นำไปวางบนดิน หรือนำไปฝังเพื่อปรับพลังงาน หรือนำไปวางไว้ในน้ำไหลตามธรรมชาติ เช่น ลำธาร หรือทะเล วิธีนี้อาจทำให้คริสตัลหมอง และมีข้อควรระวังคือหินบางประเภทเมื่อถูกน้ำแล้วจะเป็นพิษ
นอกจากวิธีตามธรรมชาติ การใช้เกลือที่มีคุณสมบัติช่วยดูดซับพลังงานลบ ใช้ควันจากธูปหอมหรือใบ sage แม้แต่เสียงสวดมนต์ เสียงเคาะระฆัง (singing bowl) หรือเสียงเพลงที่ให้ความสงบก็ใช้ได้เหมือนกัน
“ขอให้เรามีความเชื่อที่ถูกต้องเกี่ยวกับ soul ของเรา เราไม่ได้เล็กและด้อยกว่าใคร แต่เราอ่อนน้อม ขอให้เราตัดสินใจที่จะใช้ชีวิตในร่างกายนี้ให้ดีที่สุดเพราะเราไม่รู้ว่าอีกกี่ภพกี่ชาติที่เราจะได้กลับมามี physical body อีก” – อ.มะเดื่อ
ตั้งแต่การ์ดใน transformation game ที่เราต้องสนทนากับตัวเอง เลือกสารสกัดจากดอกไม้และปรุงยาเป็นสูตรของตัวเอง ไปจนถึง ‘นางฟ้า’ ที่เราปลุกเสกด้วยตนเอง แม้ว่าเรากำลังทำงานกับมิติทางพลังงาน แต่ในขณะเดียวกันเราก็ทำงานภายในกับตัวเองด้วย เราผู้เป็นเจ้าของชีวิตและเลือกทางเดินของตนเองได้เปิดรับการสนับสนุนจากพลังงานที่อยู่รายล้อม ลองเข้าไปทำรู้จักและผูกสัมพันธ์กัน เจตจำนงของเราไม่ได้สัมฤทธิ์ผลได้เพียงแค่วอนขอ แต่เกิดจากการกระทำของเราด้วย โดยมีเขาเหล่านั้นเป็นหนึ่งในแรงผลักดันให้สิ่งต่างๆ บังเกิดขึ้นในชีวิต หรือให้บางสิ่งอุบัติขึ้นบนโลก
การทำงานกับพลังงานไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในห้องเรียน มิติทางพลังงานเป็นโลกที่กว้างใหญ่อีกใบหนึ่งที่ไม่ได้แยกขาดจากเรา แต่เราอยู่ร่วมกันเสมอมา หลังจบกิจกรรมแล้วเราคงเห็นวิถีทางอีกมาก รวมถึงนำความรู้เบื้องต้นเหล่านี้ไปประยุกต์ใช้เพื่อช่วยเหลือตัวเองหรือคนอื่นต่อไป