“ฉันกำลังจะตาย” : ภาวนากับกระบวนการตาย

เรียบเรียงโดย ทีมงานวัชรสิทธา
จากหนังสือ Life in Relation to Death โดย ชักดุด ตุลกุ รินโปเช

การทำความเข้าใจกับสภาวการณ์ต่างๆ ของร่างกาย การรับรู้ และสภาวะจิตตามลำดับขั้นของการตาย อาจเป็นประโยชน์อย่างยิ่งเมื่อความตายของตัวเราเองกำลังคืบคลานเข้ามา ทั้งยังช่วยให้เราเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงความรู้สึกนึกคิดของผู้อื่นที่กำลังจะตาย ถึงกระนั้น เราก็ควรตระหนักว่า การรับมือกับความรู้สึกแปลกใหม่ขณะตายและการสูญเสียร่างกายอันเป็นที่พึ่งพิงอันแสนคุ้นเคยนั้นเป็นเรื่องยากยิ่ง ด้วยเหตุนี้ เราจึงต้องฝึกฝนตนให้เกิดการระลึกรู้อันหนักแน่นถึงธรรมชาติแห่งพุทธะและความหมายของการปล่อยวางที่แท้จริง ที่จะช่วยประคองเราให้ผ่านห้วงเวลาแห่งการตายไปได้ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นก็ตาม

ลองใช้แบบฝึกหัดกระบวนการตายนี้ เพื่อบ่มเพาะการตระหนักรู้ต่อปรากฏการณ์ของกายและจิตในช่วงเปลี่ยนผ่านของชีวิต

“ฉันกำลังจะตาย”  

มาถึงจุดที่ชัดเจนแล้วว่า ความตายอยู่ใกล้แค่เอื้อมและฉันไม่อาจหันหลังกลับ ไม่มีทั้งยา ทั้งการรักษา หรือการปฏิบัติสมาธิภาวนาที่อาจช่วยค้ำจุนร่างกายและจิตใจได้อีกต่อไป แม้แต่เสียงสวดมนต์อ้อนวอนใดๆ ไม่อาจยื้อชีวิตฉันออกไปได้อีกแล้ว ฉันกำลังจะตายในไม่ช้า

กระบวนการตายเริ่มต้นขึ้น ลมปราณหลักทั้งห้า ซึ่งช่วยค้ำจุนการทำงานในระบบต่างๆ ของร่างกายอ่อนแรงลง ลมปราณรองทั้งห้า ซึ่งช่วยค้ำจุนการทำงานของประสาทสัมผัสทั้งห้าหมดกำลังลง ศูนย์รวมพลังของร่างกายที่เรียกกันว่า จักระ เริ่มหยุดทำงาน เมื่อพลังในแต่ละจักระสูญสลาย ธาตุทั้งสี่ ที่ทำหน้าที่ประกอบกันเป็นร่างกาย ไม่ว่าจะเป็น ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ ก็แตกสลายไปด้วย

ธาตุเหล่านี้ สัมพันธ์โดยตรงต่อการประกอบกันขึ้นเป็นร่างกาย ธาตุดิน เกี่ยวพันกับกระดูกและเนื้อหนัง ธาตุน้ำ เกี่ยวพันกับเลือดและของเหลว ธาตุไฟ เกี่ยวพันกับระบบย่อยอาหารและความร้อนภายในร่างกาย ส่วนธาตุลม เกี่ยวพันกับลมหายใจและการหมุนเวียนภายในร่างกาย ธาตุทั้งสี่แตกสลายจากธาตุหนึ่งไปสู่อีกธาตุหนึ่ง การทำงานร่วมกันของระบบต่างๆ เริ่มเสื่อมสภาพลง ขณะที่ประสบการณ์แห่งความตายทั้งร่างกายและจิตใจ รวมถึงภาพนิมิตหลากหลายจะโถมถั่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว

เริ่มต้นด้วยการแตกสลายของธาตุดินคืนสู่ธาตุน้ำ ร่างกายเพลีย เหนื่อยล้า อ่อนแรงไม่มีกำลัง ไม่อาจขยับตัว พยุงตัว ลุกขึ้นยืนตรง ถือของ หรือตั้งศีรษะได้อีกต่อไป กลืนอะไรก็ไม่ได้ รู้สึกราวกับ ร่วง หล่น ตกลงมา จมลงใต้ดิน หรือถูกกดทับด้วยน้ำหนักมหาศาล ฉันรู้สึกหนักอึ้ง ถ่วง จม ดิ่ง และรู้สึกไม่สบายกายไม่ว่าจะอยู่ท่าไหนก็ตาม สีผิวฉันจางลงและซีดเผือด แรงตึงผิวบนใบหน้าและทั่วร่างกายฉันเบาบางลง แก้มตอบและฟันคล้ำ การเปิดและปิดตาทำได้ยากขึ้น ภาพที่มองเห็นเบลอ โลกที่ปรากฏขุ่นมัว จิตใจรู้สึกหงุดหงิดและเป็นกังวล หรือดิ่งลงสู่ความง่วงหงาวหาวนอน เกิดนิมิตเป็นภาพไอแดดเต้นระยิบระยับ

จากนั้นธาตุน้ำแตกสลายคืนสู่ธาตุไฟ ฉันเริ่มสูญเสียการควบคุมของเหลวในร่างกาย น้ำมูก ขี้หู ขี้ตาไหลออกมา ไม่อาจควบคุม ลิ้นแข็งขยับไม่ได้ ตาเริ่มรู้สึกแห้งในเบ้าตา ผิวหนัง ริมฝีปากแห้งแตกเพราะขาดเลือด ปากและลำคอเหนียว ราวกับมีสิ่งอุดตัน ช่องจมูกแคบลง กระหายน้ำ สั่น กระตุก กลิ่นแห่งความตายอบอวลเหนือตัวฉัน แปรเปลี่ยนสลับไปมาระหว่างเจ็บปวดกับสบาย ร้อนกับหนาว จิตใจเริ่มเลอะเลือน คับข้องใจ หงุดหงิด และตื่นตระหนก อาจรู้สึกคล้ามจมอยู่ในมหาสมุทร หรือถูกแม่น้ำใหญ่พัดพา เกิดนิมิตเป็นภาพเมฆหมอกและควันโพยพุ่ง  

จากนั้นธาตุไฟแตกสลายคืนสู่ธาตุลม ปากและจมูกแห่งผาก ความอบอุ่นทั้งหมดของร่างกายจางหายไป เริ่มจากเท้า แขน แล้วลามสู่หัวใจ ไอร้อนระบายจากกระหม่อม ลมหายใจเยียบเย็นขณะผ่านปากและจมูก ไม่สามารถดื่มหรือย่อยอะไรได้อีกต่อไป จิตใจสับสนและชัดเจนสลับกันไปมา ไม่อาจจำชื่อคนในครอบครัวหรือเพื่อนๆ ได้ การรับรู้สิ่งนอกตัวทำได้ยากขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่เสียงและภาพสับสนปนเป สภาพจิตใจอาจคล้ายกับถูกไฟแผดเผา หรือเหมือนอยู่ในกองไฟแตกดังลั่น เกิดนิมิตเป็นภาพประกายไฟสีแดงเต้นอยู่เหนือในที่โล่งคล้ายแมงเม่า

จากนั้นธาตุลมแตกสลายคืนสู่อากาศธาตุ การหายใจทำได้ยากขึ้นเรื่อยๆ อากาศดูจะเล็ดลอดผ่านคอ ฉันเริ่มระคายเคืองและหอบ ลมหายใจเข้าสั้นและติดขัด ลมหายใจออกยาวขึ้น ตาเกลือกขึ้นและขยับเขยื้อนไม่ได้แม้แต่น้อย เมื่อสังขารหรือความนึกคิดกำลังแตกสลาย จิตใจเริ่มงุนงง ไม่รู้เรื่องโลกภายนอก ทุกอย่างพร่าเลือน ปั่นป่วน ราวกับลมพายุกำลังโหมใส่โลกทั้งโลก ความรู้สึกสุดท้ายที่สัมผัสกับสิ่งแวดล้อมภายนอกเลือนหายไป ฉันเริ่มเห็นภาพหลอนและบังเกิดภาพนิมิตสอดคล้องกับกุศลและอกุศลกรรมที่ทำมาระหว่างมีชีวิต ฉันอาจเห็นภาพน่ากลัวตามมาหลอกหลอน อาจพยายามร้องด้วยความตื่นตระหนก และฉันก็อาจเห็นภาพงดงาม เปี่ยมด้วยความรักความกรุณา อาจประสบกับนิมิตที่สุขสงบราวสรวงสวรรค์ อาจพบเพื่อนรัก คนรัก ครูบาอาจารย์ หรือองค์พระที่เคารพศรัทธา ปราณทั้งหมดรวมกันเป็น “ปราณพยุงชีพ” ในหัวใจ เกิดนิมิตเป็นภาพคบเพลิงหรือตะเภียงที่มีไฟลุกส่องแสงเรืองสีแดง  ลมหายใจเข้าของเราเริ่มสั้นเข้า และลมหายใจออกยาวขึ้น เลือดกระจุกตัวและเข้าสู่ “ช่องแห่งชีวิต” ตรงกลางหัวใจ เลือดสามหยดรวมกันทีละหยด ทำให้มีลมหายใจออกสุดท้ายสามเฮือกยาว แล้วก็หมดลมไปในทันที ความอบอุ่นน้อยนิดอ้อยอิ่งอยู่ในหัวใจ สัญญาณชีวิตทั้งหลายสูญหายไปสิ้น

ฉัน “ตาย” แล้ว


สถาบันวัชรสิทธา ก่อตั้งขึ้นเพื่อเป็นพื้นที่ทดลองทางการศึกษา บนพื้นฐานของการภาวนา การใคร่ครวญด้วยใจ และการแลกเปลี่ยนประสบการณ์อย่างเป็นมนุษย์ระหว่างผู้เรียน