Decentralization: การไม่รวมศูนย์เข้าสู่ตัวเอง วินัยบนเส้นทาง Somatic Meditation

โดย วิจักขณ์ พานิช
บทความเรียบเรียงโดย พรทิภา จันทรพราม


ถ้าเราภาวนาแบบตามลมหายใจ ควบคุมลมหายใจ พยายามทำจิตให้สงบ มีสมาธิ อย่างที่เคยฝึกกันมา การฝึกเช่นนี้อาจไม่ได้เน้นย้ำต่อการสัมพันธ์กับสิ่งที่เป็น Unknown มากนัก เราพัฒนาจิตไปในทางที่ดี ตามที่คาดหวัง มีประสิทธิภาพ หรือควบคุมอารมณ์ได้ดีขึ้น แต่หัวใจของ Somatic Meditation คือการเปิดสัมพันธ์กับ Unknown  เป็นพื้นที่การตระหนักรู้อันไร้เงื่อนไขของ Soma การดำรงอยู่ในเนื้อในตัวในระดับลึกเช่นนี้ คือการสัมพันธ์กับ Unknown สัมพันธ์กับ Subconscious/Unconscious หรือที่สิ่งที่วิคตอเรีย (อ.วิคตอเรีย สุบิราน่า) เรียกว่า 95%

นี่เองคือความเร้นลับของวัชรยาน ในกระบวนการนี้เราต้องสัมพันธ์กับสิ่งที่เป็น “ทั้งหมดของตัวเรา” สิ่งที่เรายังไม่รู้ว่าอะไรจะเผยขึ้นมา อาจมีด้านที่เป็นศักยภาพที่เราไม่เคยเห็นมาก่อนในตัวเอง ด้านที่เราจำเป็นจะต้องรวมเข้ามา (ด้านที่เราเป็นได้มากกว่านี้ ทำได้มากกว่านี้) หรืออาจมีด้านที่เราปฏิเสธ เกลียด หรือกลัวในตัวเอง( หรือในผู้อื่น)

เมื่อเราเชื่อมต่อกับ 95% จากการเปิดพื้นที่การตระหนักรู้ในเนื้อในตัวมากขึ้น เราจะเริ่มค้นพบว่า “เราก็เป็นอย่างนั้น” กระทั่ง “เราเป็นทั้งหมด” บางคนพบพลังงานความก้าวร้าว พลังงานของการโทษตัวเอง พลังงานความซึมเศร้า พลังงาน Addiction บางอย่าง พลังงานเหล่านี้เผยแสดงออกมาให้เราเห็น หรือเราอาจถูก Trigger และได้เห็นการเผยแสดงของสิ่งที่เราไม่เคยเห็นในตัวเองมาก่อน …เราก็เป็นได้ขนาดนี้เลยนะ เราก็อยากต่อยหน้าคนเหมือนกันนะ เราก็ขี้อิจฉาเหมือนกันนะ เราก็เป็นฆาตกรหรือเป็นอำนาจนิยมเหมือนกันนะ การภาวนาเปิดพื้นที่การตระหนักรู้ให้เราเห็นสิ่งเหล่านี้ในตัวเอง

เวลาเราสัมพันธ์กับ Subconscious/Unconscious มันเป็นอะไรที่ควบคุมไม่ได้และท่วมท้นมาก บางครั้งเราอาจจะรู้สึกเหมือนเจอกับปีศาจที่น่าเกลียดน่ากลัว บางครั้งเราอาจรู้สึกว่ามันเป็นความผิดปกติ เป็นโรค ไม่ว่าจะเป็นทางกาย ทางจิต หรือทางอารมณ์

“เรารู้สึกว่ามันผิดปกติเพราะเราไม่รู้จักมัน เรากลัวมัน และไม่รู้จะ Deal กับมันอย่างไร”

ดังนั้นทางออกที่ง่ายที่สุดคือ เราจึงมองว่ามันเป็นปัญหา เป็นปีศาจ หรือเป็นความผิดปกติ …กระนั้นสิ่งที่อยากจะเน้นย้ำคือ เวลาที่เราเจอกับประสบการณ์แบบนั้น นั่นแหละคือของจริง คือขอบ คือ Threshold

ภาพโดย Thirdman จาก Pexels

“ที่แน่ๆ เรา “รู้สึก” ว่ามันคือปีศาจจริงๆ มันเป็น Reality ที่เรารู้สึก มันท่วมท้น
เกินการควบคุมของตัวเรา …เรา Deal กับมันไม่ได้”

และในวินาทีนั้น สิ่งที่เราอยากทำที่สุดก็คือ “อยากวิ่งหนี”  และวิธีที่ง่ายที่สุดก็คือการวิ่งหนีเข้าไปสู่ความคิด เข้าไปสู่การตัดสินตัวเอง การตัดสินสถานการณ์ การตัดสินวิธีการภาวนา การตัดสินครู การตัดสินสังฆะ การตัดสินอะไรก็ตามที่เราสามารถจะหาเหตุผลได้ว่า “สิ่งที่เราเจอมันไม่ OK”  ตัวอย่างเช่น เราอาจไปเข้าคอร์สภาวนาซึ่งอาจารย์สอนอะไรบางอย่างที่เข้มข้นมาก เมื่อกลับบ้านมาแล้ว เราพบว่ามีอาการทางกายหรือสภาวะอารมณ์บางอย่างที่เราควบคุมไม่ได้ เราอาจสังเกตเห็นได้ว่า มันง่ายมากที่จะโทษว่ามันเป็นเพราะคอร์สนั้น เพราะสิ่งที่เราเรียนรู้จากที่นั่น หรือเพราะครูคนนั้น

อยากจะเน้นย้ำตรงนี้อีกครั้งว่า ถ้าเราเจอกับประสบการณ์ที่เข้มข้น ควบคุมไม่ได้ในลักษณะนั้น นั่นคือเรากำลังเผชิญหน้ากับ Unknown สิ่งเดียวที่อยากจะให้เราไว้วางใจคือ  “ไว้วางใจความรู้เนื้อรู้ตัวของเรา”

ภาพโดย Anna Tarazevich จาก Pexels

“ไว้วางใจพื้นที่ว่างที่จะมีให้กับตัวเอง และอนุญาตให้สภาวะนั้นปรากฏขึ้น

จากนั้นใช้กระบวนการที่เราเรียนรู้จากการภาวนาในการ Decentralize

Decentralize สิ่งที่เราคิดว่าเป็นปีศาจ

Decentralize ประสบการณ์หรือความท่วมท้นอันนั้น

ให้รู้สึกได้ในระดับพลังงาน หรือระดับ Sensation ในเนื้อในตัวของเรา

Decentralization คืออะไร?

ในคราวที่ต้องเจอกับเรื่องที่ Trigger เรามากๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม อาจเป็นเรื่องที่เราเถียงหัวชนฝาว่าตัวเองถูก หรือชั่วขณะที่ค้นพบว่าเราน็อตหลุด หรือเมื่อต้องเจอกับสถานการณ์ที่เรารู้สึกว่ารับไม่ได้ เราเกลียด เรากลัว เมื่อต้องเจอสถานการณ์ที่เข้มข้นมากๆ เราจะรู้สึกว่ามันใหญ่ มันหนัก มันท่วมท้นมาก เรารับมือไม่ได้ ความเคยชินแรกที่เราจะทำคือ “เราจะพยายามหนีออกจากความเข้มข้นนั้นให้เร็วที่สุด” และวิธีการหนึ่งที่เราจะใช้เพื่อหนีออกจากความเข้มข้นนั้นก็คือ “ความคิด และการวิ่งตามความคิด”

ภาพโดย Dids จาก Pexels

จากนั้นความคิดก็จะปั่น ฟุ้ง พัวพัน แล้วทำให้เรื่องมันใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ แล้วสุดท้ายก็จะกลาย “เป็นปัญหา” ไม่ว่าจะเป็นปัญหาที่ต้องการการแก้ หรือปัญหาที่ไม่มีทางแก้

“เรารู้สึกว่าความสัมพันธ์นี้มีปัญหา ร่างกายเรามีปัญหา สภาวะจิตใจเรามีปัญหา
หรือการภาวนาของเรามีปัญหา”

เราสร้างสายเรื่องมากมาย พัวพันห่อหุ้มปกป้องตัวเองไว้ เพื่อพาเราออกมาจากความเข้มข้นของประสบการณ์ที่เราไม่รู้จะรับมือมันยังไง  นี่เองคือภาวะที่เรียกว่า “การรวมศูนย์เข้าสู่ตัวเอง” หรือ Centralization

ตัวตนของเรา Ego ของเรา คือ ภาวะของการ Centralize พลังงาน

การปิดของใจ ก็คือภาวะของการ Centralize พลังงาน

เราปิดเพราะเราไม่อยากจะ Deal เราปิดเพราะเราไม่อยากจะรับรู้

สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นในระดับสัญชาตญาณมากๆ

กระบวนการของการภาวนานำเรากลับมาอยู่กับร่างกาย กลับมาอยู่กับพื้นที่ว่าง กลับมาสู่การเปิดหัวใจ เราค้นพบว่าธรรมชาติโดยพื้นฐานของชีวิตไม่ใช่การปิดตาย อย่างน้อยธรรมชาติของอิสรภาพ ความสุข ก็ไม่ใช่แบบนั้นแน่ๆ เราปรารถนาความสุข เราปรารถนาการปลดปล่อย เราปรารถนาการผ่อนคลายและวางใจ เวลาเราพูดว่าการภาวนาทำงานกับอัตตา ก็หมายถึง การทำงานกับภาวะการรวมศูนย์เข้ามาสู่ตัวเองที่ควรเกิดขึ้นเพียงชั่วคราวไม่ใช่ติดค้างเช่นนั้นไปชั่วกัลปาวสาน

ภาพโดย Kendra Coupland จาก Pexels

การเชื่อมสัมพันธ์กับ Soma, พื้นที่ว่าง, ความดีพื้นฐาน, Depth of Being อะไรก็ตามที่เราพึงคิดหาภาษามาเรียก  ทั้งหมดนี้คือกระบวนการ Decentralization มันคือการกระจาย คลายสู่สภาวะเดิมแท้พื้นฐาน ทำไมต้องกลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว? เพราะแทนที่จะคิดว่าความรู้ทั้งหมดอยู่ที่ความคิด (ความคิดนั่นแหละ คือ Centralize สุดๆ แล้ว) เรา Decentralize ให้กลับมารับรู้ว่า ทุกเซลล์ ทุกอณูรูขุมขน ทุกความรู้สึกตัวที่ระยิบระยับทั้งหมดนั้นต่างหาก คือ ตัวรู้ หรือการตื่นรู้ที่แท้จริง

“ความว่าง คือตัวรู้

Depth ของความว่าง คือตัวรู้

จักรวาลนี้ คือตัวรู้

กายทั้งหมดทุกอณูรูขุมขน คือตัวรู้

การไว้วางใจใน Soma นี่ก็คือตัวรู้

ทั้งหมดนี้คือ Decentralization”

เวลาที่เราอยู่ในสภาวะพื้นฐาน เรารู้สึกผ่อนคลาย ไม่ต้องพยายาม นั่นแหละคือ Decentralization เราค้นพบว่า ทุกอย่างดำเนินไปเอง เราวางใจในกระบวนการชีวิต วางใจในความคาดไม่ถึง คาดเดาไม่ได้ วางใจในผู้คนที่ผ่านเข้ามา การวางใจได้คือพื้นฐานของความสุข การปลดปล่อย เกิดเป็นอิสรภาพ เป็นความรัก ความกรุณา เกิดเป็นความอ่อนโยน เกิดเป็นการให้อภัย สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นจากการ Decentralize ทั้งหมดเลย

มันอาจจะทำได้ยาก แต่ว่านี่คือวินัยแห่งการปฏิบัติ มันเจ็บปวดแน่นอน สั่นไหวแน่นอน ท่วมท้นแน่นอน แต่ขอให้เราใช้กระบวนการของการอยู่กับเนื้อกับตัว, อยู่กับพื้นที่ว่าง, การ Support ของผืนดิน ผืนฟ้า, อยู่กับความรู้สึกที่เปิดกว้างของใจ หรืออยู่กับ Depth กับอะไรก็ตามที่เรารู้สึกได้เวลาที่เราหายใจเข้า-ออก ใช้กระบวนการนี้ในการ Decentralize ให้สภาวะที่เป็นก้อน แข็ง อัด ทึบ ตัน ตายตัว ถาวร และง่ายต่อการตัดสิน (ถูก-ผิด ดี-ชั่ว) มาอยู่ในสภาวะที่เรารู้สึก (รู้สึกสั่นไหว รู้สึกเจ็บ รู้สึกร้อน รู้สึกถึงขอบ รู้สึกถึงความเกร็ง รู้สึกถึงความเจ็บปวด และเชื่อมต่อกับความรู้สึกที่ไม่อาจควบคุมได้ แก้ไขได้ หรือรับมือได้ ของร่างกายเวลาที่อยู่ในภาวะแบบนั้น)  นี่คือ Discipline ของวัชรยาน

“ถ้าเราจะฝึกวัชรยาน เราต้องไม่พยายามจะไปมองหาว่าใครยิงลูกศรมาเข้าตาเรา

เราต้อง Deal กับสิ่งที่ลูกศรพามา เราต้อง Deal กับ Sensation ที่เกิดขึ้นทั้งหมด

และสุดท้ายมันอาจมีความรู้สึกบางอย่างที่เราสามารถจะดึงลูกศรนั้นออกได้

หรือบางทีมันอาจจะคลายออกเองโดยธรรมชาติก็ได้

สำคัญมากที่เราจะต้องไม่พยายามเสียเวลาไปมองหาว่าใครยิงลูกศร”

อะไรก็ตามที่มัน Trigger อะไรก็ตามที่ส่งสภาวะที่ท่วมท้นนั้นมาสู่เนื้อสู่ตัวของเราได้ เค้าได้ทำหน้าที่นั้นแล้ว ที่เหลือเป็นหน้าที่ของเราที่จะสัมพันธ์กับสภาวะนั้นด้วยความเปิดกว้าง ด้วยความกรุณา นี่แหละคือความไม่ค่อย Make Sense ของวัชรยาน เป็น Sense ที่เราพร้อมศิโรราบต่อสารหรือข้อความที่ใครก็ตามส่งมาถึง และตราบใดที่สั่นสะเทือนอยู่ในใจ ทำงานกับขอบในใจ แสดงว่าสารนั้นส่งมาถึง

“ถ้าข้อความเหล่านั้นส่งมาถึงเราได้ แสดงว่ามันใช้การได้

แสดงว่ามันยังมีอะไรบางอย่างใน Soul ของเรา ในจิตวิญญาณของเรา

ที่ยังต้องคลี่คลาย และยังต้องทำงานอยู่”

ถ้า Decentralization เป็นสิ่งที่เรากลับมาได้เร็ว การก่อตัวขึ้นของสิ่งที่จะพัฒนากลายเป็นเรื่องใหญ่ที่จะยิ่งระเบิดไปเรื่อยๆ เป็นลูกโซ่ก็ถูกหยุดหรือขัดจังหวะไป แต่ถ้าหากเรากลับมาไม่ทัน เรา “Get Hooked” ไปแล้ว เราติดเบ็ดไปเรียบร้อยแล้ว ถึงอย่างนั้นก็ไม่เป็นไร เรากลับมาได้เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น แค่กลับมาสัมพันธ์กับสิ่งที่เป็นผลลัพธ์จาก Centralization ไม่ว่าจะนานหรือจะสั้น ไม่ว่าจะวิปลาสแค่ไหน เราก็สัมพันธ์กับผลของการกระทำ ความน่าอับอาย ความพังทลาย ความสัมพันธ์ที่อาจแตกร้าวหรือเจ็บปวด  Discipline ก็ยังคงเป็นสิ่งเดียวกัน คือ Decentralization ไม่ว่าจะทำในขณะที่กำลังเกิดเหตุการณ์ขึ้น หรือทำหลังจากที่เหตุการณ์ผ่านไปแล้ว การภาวนาหรือการตระหนักรู้อย่างเปิดกว้างก็ยังคงเป็นสิ่งจำเป็น และไม่ว่าจะเผชิญได้หรือไม่ได้ จะหยุดตัวเองทันหรือไม่ทัน ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องตัดสินตัวเองว่าเรายังภาวนาได้ไม่ดีพอ

“เราแค่ต้อง Deal กับผล

สุดท้ายยังไงเราก็ต้อง Deal กับสภาวะนั้นอยู่ดี

และยังไงเราก็ต้องปล่อยอยู่ดี”

จำเป็นที่จะต้องเน้นย้ำกันบ่อยๆ ว่า ถ้าเราฝึกฝน Somatic Meditation และทำงานกับ Subconscious/Unconscious เพื่อที่จะเข้าถึงสภาวะของการหลุดพ้นโดยสมบูรณ์ สภาวะของอิสรภาพ สภาวะของ Human Fulfillment บรรลุถึงความเป็นมนุษย์อย่างเต็มเปี่ยม เราจะต้องพบเจอกับประสบการณ์ที่เข้มข้น ความท้าทาย หรือความท่วมท้นในลักษณะนี้แน่นอน และมันจะเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าในฐานะส่วนหนึ่งของ “ภาพทั้งหมด” ที่ค่อยๆ คลี่เผยให้เห็น

เราอยู่กับสิ่งที่เกิดขึ้นโดย “ไม่รวมศูนย์เข้าสู่ตัวเอง” เรารู้สึกกับมัน อยู่กับมัน พร้อมที่จะ Deal กับขอบของตัวตน ความคิดที่เราตัดสินตัวเองหรือผู้อื่น หรือผลที่ตามมาของสถานการณ์นั้น

ดังที่บทสวด Aspiration ของสายปฏิบัติ ที่เขียนขึ้นโดย อ.เรจินัลด์ เรย์ ว่า

“ขอให้ข้าได้พัฒนา
การยอมรับและความเปิดกว้างอย่างหมดจด
ต่อทุกสถานการณ์ ทุกอารมณ์ และทุกผู้คน
ขอให้ข้าสัมพันธ์กับทั้งหมด อย่างเปลือยเปล่า
ปราศจากเครื่องกั้นขวางหรือการกักเก็บไว้ในใจแม้แต่น้อย
ขอให้ข้าไม่ถอยหนีจากชีวิต
หรือรวมศูนย์เข้าสู่ตัวเอง
ขอให้หัวใจข้าเปลือยเปล่าและเปิดกว้าง
ต่อไฟแห่งสรรพสิ่งอย่างที่เป็น”