Elemental Reality : แยกแยะชั่วขณะจิตของความจริง สู่อิสรภาพด้วยคมดาบแห่งปัญญา

บทความโดย THANYA วัชรสิทธา
สะท้อนประสบการณ์จาก Hinayana Retreat โดย วิจักขณ์ พานิช 4-7 พฤษภาคม 2566 ณ อวโลกิตะ


เคยฟังเรื่องเล่าสมัยเด็กๆ กิ้งกือมีขามากมายนับไม่ไหว และใช้ขาทั้งหมดนั้นเดินไปเดินมา มีอยู่วันหนึ่งมีคนไปถามว่า “เธอเดินยังไง?” กิ้งกือก็หยุดชะงัก คิดไม่ออกว่าที่ทำโดยปกตินั้นมันทำยังไง ถึงกับเดินไม่เป็นไปชั่วขณะเลย 

ช่วงการเดินภาวนาใน Hinayana Retreat แวบหนึ่งของประสบการณ์พาให้นึกถึงเรื่องกิ้งกือเดินไม่เป็นขึ้นมาในหัว

Hinayana Retreat เป็นวิชาใหม่ ที่กำลังจะพัฒนาเป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตร Buddhist Studies ของวัชรสิทธา สี่วันของการฝึกปฏิบัติ “หินยาน” เป็นรูปแบบเข้มข้น ให้ได้ทำงานอยู่กับสภาวะในตัวเองอย่างเต็มที่ อีกทั้งได้เรียนคำสอนในขั้นหินยาน (ในโลกทัศน์ไตรยานของพุทธศาสนาทิเบต) แล้วนำมาปฏิบัติจนเกิดความเข้าใจในเนื้อตัว รีทรีทครั้งนี้ทำให้เห็นถึงความสำคัญในการฝึกปฏิบัติขั้นพื้นฐาน ความเรียบง่ายอันมั่นคงต่อการเดินทางบนเส้นทางจิตวิญญาณ 

หัวใจสำคัญประการหนึ่งของการฝึกหินยาน คือการฝึกจิตที่ไวราวกับลิง ให้ค่อยๆ ช้าลง โดยทั่วไปแล้วจิตของเราจะคิดนู่นคิดนี่ กระโดดไปกระโดดมาจนมองไม่เห็น ตามไม่ทัน ผลก็คือการวิ่งวุ่นตามความคิด ไหลไปตามอารมณ์ตัวเองโดยไม่รู้ตัวและยับยั้งไม่ได้อยู่บ่อยๆ ในการฝึก เราไม่ได้ไปจับให้ลิงหยุดขยับเพราะมันเป็นไปไม่ได้ แต่เราทำให้ลิงช้าลงได้ ด้วยการไม่วิ่งตามลิง ไม่ตามความคิด ไม่ป้อนอาหารให้ลิงมีแรงวิ่งต่อ แต่ใช้การกลับมาอยู่กับลมหายใจ ผ่อนคลายอยู่กับเนื้อตัว ทำเช่นนี้ต่อเนื่องไปสักพักจนจิตเริ่มช้าลง ส่งผลให้เห็นสิ่งต่างๆ ชัดเจนมากยิ่งขึ้น

นอกจากในการนั่งภาวนา ช่วงเดินภาวนาและกินอาหาร เราก็ได้ฝึกที่จะช้าลงด้วยเช่นกัน เราแยกการเดินออกเป็น 5 จังหวะย่อนได้แก่ ยกส้น ยกเท้า ก้าว แตะ วาง ทำแต่ละขั้นตอนด้วยความตระหนักรู้ ในการกินข้าว เราก็แยกย่อยการเคลื่อนไหวที่เคยทำรวดเดียว เป็น ตักข้าว ยกช้อน เข้าปาก วางช้อน เคี้ยว ทีละคำๆ อย่างมีสติไม่วอกแวกไปกับการทำอย่างอื่นไปพร้อมๆ กัน เช่น ดูโทรศัพท์ หรือสนทนากับเพื่อนข้างๆ 

ประสบการณ์จากการฝึกที่จะช้าลงนี้เป็นอะไรที่แปลกใหม่มาก ราวกับความเคยชินเดิมๆ ของเราโดนรื้อออกไปหมด จนเป็นเหมือนกิ้งกือที่เริ่มสับสนแล้วว่า สิ่งที่คิดว่าเป็น “ความปกติ” ที่ทำๆ มานั้น คืออะไรกันแน่

Elemental Reality ความเป็นจริงที่แยกย่อยสู่องค์ประกอบมูลฐาน

ในระหว่างชั้นเรียน มีคอนเส็ปต์ที่น่าสนใจอันนึงผุดขึ้นมา ว่าด้วย “Elemental reality” หรือ “ความจริงที่แยกย่อยละเอียดลงมา” เป็นความจริงไม่ได้อยู่อย่างตายตัวเป็นก้อนเดียว แต่สามารถแยกย่อยออกจากกัน เป็นส่วนๆ ที่เป็นอิสระจากกันได้ นึกถึงชีวิตมนุษย์ที่เกิดขึ้นมาจากธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ ซึ่งเมื่อตายไปแต่ละส่วนก็แยกออกจากกันและกลับคืนสู่ธรรมชาติ หรือ การพิจารณาถึงสิ่งที่เราคิดว่าเป็นตัวตนให้เห็นถึง องค์ประกอบแยกย่อยของ ขันธ์ 5 เป็นต้น

ตอนฟังคำสอนก็ยังไม่ค่อยเข้าใจ แต่เมื่อเดินภาวนาก็ “ปิ๊ง” ขึ้นมาทันที เป็นความเข้าใจที่ขึ้นมาเองจากการมีประสบการณ์

ขณะที่เดินช้าๆ ช้ามาก แยกแต่ละขั้นตอนออกจากกัน ไม่ได้กดปุ่มออโต้ หรือทำตามความเคยชินแบบรวดเดียว แต่ให้เราลองอยู่กับแต่ละขณะอย่างเต็มที่ ประสบการณ์การเดินช้าๆ ที่ดูผิดปกติในตอนแรกนี้ ค่อยๆ แปรเปลี่ยนความสัมพันธ์ที่เรามีต่อการเดินในแต่ละขณะ กระทั่งกลายเป็นความปกติใหม่ ซึ่งแวบนึงก็ทำให้ย้อนนึกว่า แล้วที่ผ่านมาเราเดินยังไงกันนะ โคตรจะไม่ปกติเลย 

ประสบการณ์ของการเดินช้าลง อยู่กับการเดินแบบใหม่ราวกับเดินครั้งแรก หรือเดินไม่เป็นมาก่อน ทำให้เห็นถึงความไม่ต่อเนื่องในแต่ละส่วนของกระบวนการ ยกส้น ไม่จำเป็นจะต้องก้าวต่อไปข้างหน้าทันที หรือบางทีอาจจะตามมาด้วยการหยุด ไม่ต้องเดินต่อก็ได้ เราสามารถทำให้ขาก้าวไปข้างหน้า หรือจะก้าวไปทิศทางอื่น หรือจะถอยกลับก็ได้ ชั่วขณะที่ตระหนักถึงความไม่ต่อเนื่อง ราวกับมีแสงแห่งอิสรภาพลอดผ่านช่องว่างแคบๆ สาดส่องมาที่เรา บอกว่าเธอน่ะมีอิสระอยู่แล้วในทุกๆ ขณะ ไม่จำเป็นต้องวิ่งตามความต่อเนื่องว่ายวนที่ดูเหมือนจะตายตัวเสียเหลือเกิน

ชั่วขณะนั้นเองที่ทำให้เข้าใจความหมายของ Elemental Reality ธรรมชาติของความเป็นจริงที่เราเคยคิดว่าตายตัว ต่อเนื่อง เป็นเรื่องใหญ่ แปรเปลี่ยนไม่ได้ หรือกระทั่งเป็นปัญหา ทว่าการภาวนาเปิดตาแห่งปัญญาให้เราเห็นว่า

  1. ความจริงไม่ได้ต่อเนื่อง
  2. ความจริงเกิดขึ้นเป็นชั่วขณะ เหมือนไฟกระพริบ
  3. ความจริงแยกส่วนจากกัน และมีความหมายในตัวเอง
  4. ความจริงไม่ซ้ำเดิม เต็มเปี่ยมด้วยความเป็นไปได้

นึกภาพรถที่ขับมาเร็ว ภาพที่เห็นจะปรากฏเป็นเส้นวิ่งผ่าน ไปไวๆ ราวกับเป็นภาพต่อเนื่องภาพเดียว ไม่เห็นเป็นองค์ประกอบของคันรถ ถนน พื้นหลัง ท้องฟ้า ต้นไม้ แต่ถ้ารถชับช้าลง ภาพก็จะค่อยๆ ปรากฏแต่ละส่วนให้เห็น เห็นคันรถ เห็นล้อ เห็นหน้าต่าง เห็นคนขับ เห็นท้องฟ้าข้างหลัง เห็นรถคันอื่นๆ บนท้องถนน ซึ่งแต่ละอันเป็นคนละอย่างกัน แยกกัน สัมพันธ์กัน ทว่าเป็นอิสระจากกัน เกิดขึ้นของใครของมัน

อะไรที่มันเกิดขึ้นเร็วๆ เราก็มักชาชินว่ามันก็ (ต้อง) เป็นแบบนี้แหละ เรารวบให้มันเป็นก้อนเดียว ทำให้ต่อเนื่อง วิ่งวนไปเรื่อยๆ วนไปเรื่อยๆ รอบตัวเราที่เป็นศูนย์กลาง กระทั่งเข้าใจผิดไปว่า ความจริงคือความเที่ยงแท้ เมื่อเราเห็นแบบนี้ มันก็ต้องเป็นแบบนี้ หารู้ไม่ว่าจริงๆ แล้ว เรากำลังถูกปั่น เหมือนอยู่ในวงล้ออะไรสักอย่างที่หมุนเร็วมาก จนมองไม่เห็นสิ่งต่างๆ ตามที่เป็นจริง

สังสารวัฏคือความว่ายวนไม่รู้จบ เราเรียนรู้เรื่องนี้กันอย่างลงลึก ไม่ว่าจะเป็นคำสอนการเวียนว่ายตายเกิด วงล้อปฏิจจสมุปบาท ที่ใช้นิทานสิบสองเรื่อง อธิบายความต่อเนื่องของการก่อเกิดอัตตา และคำสอนอีกหลายข้อในพุทธศาสนา ซึ่งเมื่อนำมาใช้มองในชีวิตจริง เราต่าง ใช้ประโยชน์จากความต่อเนื่องตายตัวนี้ เมื่อทำแบบนี้ๆ ก็ต้องทำแบบนี้ๆ เมื่อเป็นแบบนี้ๆ ก็ต้องต่อด้วยแบบนี้ๆ เมื่อเรียนจบ ก็ต้องรีบทำงานหาเงิน ไม่งั้นก็ไปเรียนต่อ เริ่มทำงานแล้วก็ต้องมีเงินเดือนสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ต้องโพสต์คอนเท้นท์ในอินเตอร์เน็ตเยอะๆ ไม่งั้นจะไม่โด่งดัง ต้องเปลี่ยนแปรงสีฟันทุกสามเดือน ต้องมีโทรศัพท์เครื่องใหม่ตามเทรนด์ ฯลฯ

ทางออกจากสังสารวัฏ คือ การตระหนักถึงการมีอยู่ของช่องว่างระหว่างความต่อเนื่อง วาบแสงสว่างที่แทรกมาจากรอยแยกแคบๆ เหมือนตอนที่เราสัมผัสช่องว่างของประสบการณ์ระหว่างการยกเท้าและก้าวเท้า ฝึกจิตให้ว่างพอที่จะเกิดพื้นที่ว่างระหว่างสิ่งต่างๆ ที่ดูเหมือนจะแข็งทื่อตายตัว เป็น Elemental Reality ที่สดใหม่ คาดเดาไม่ได้ ไม่เป็นแบบแผน กระทั่งเต็มไปด้วย chaos ด้วยการช้าลง อยู่กับปัจจุบัน และมองด้วยสายตาที่เปิดกว้างและแม่นยำ การฝึกในขั้นหินยานทำงานกับส่วนนี้โดยตรง

การฝึกภาวนาในขั้นหินยาน ทำให้เราเห็นความสำคัญของการช้าลง การผ่อนคลาย อยู่ตรงนี้เฉยๆ ไม่ทำอะไรก็ได้ อยู่กับสภาวะภายในที่เผยขึ้นมา โดยไม่ตอบโต้ หรือไหลตามเหมือนแต่ก่อน เราเข้าใจธรรมชาติของจิตสังสารวัฏที่คอยแต่จะวิ่งหาอะไรทำ หาอะไรคิด เมื่อวิ่งไปก็วนอยู่อย่างนั้นอย่างต่อเนื่อง คอยหาเรื่องให้เราทุกข์ หรือคนรอบข้างทุกข์ ด้วยความคิดตัดสิน ความพลุ่งพล่านของอารมณ์ ความอยู่ไม่นิ่งของจิต โดยที่ไม่มีอะไรจะสามารถหยุดยั้งมันได้ และเราก็เริ่มมองเห็นความเป็นไปได้ของการออกจากอำนาจสังสารวัฏด้วยการภาวนา

การภาวนาทำให้จิตเราสงบลง ความนิ่งของจิตทำให้เรามองเห็นความจริงที่แยกย่อยในแต่ละขณะจิต และเต็มไปด้วยช่องว่าง เราค้นพบความจริงใหม่ๆ ความเป็นไปได้ใหม่ๆ บนเส้นทางการตื่นรู้ของชีวิต อิสรภาพจากความต่อเนื่องของตัวตนที่ตายตัว อาจพาให้เรางงเหมือนกิ้งกือที่ไม่แน่ใจว่าจะเดินยังไงในช่วงแรก แต่สุดท้ายก็จะมายืนยันแก่เราครั้งแล้วครั้งเล่าว่า อิสรภาพจากสังสารวัฏนั้นมีอยู่จริง

….และการหลุดพ้นสู่การรู้แจ้งก็เกิดขึ้นได้จริงเช่นกัน