บทความโดย คมกฤช อุ่ยเต็กเค่ง
ภาพประกอบโดย Nakkusu
ทุกคนทำผิดได้ และการกระทำผิดต่อผู้อื่นนั้นทำให้เกิดภาระทางใจต่อผู้ถูกกระทำในตอนแรก และหากผู้กระทำได้เกิดสำนึกว่าตนกระทำผิดแล้ว ก็จะเกิดภาระทางใจของตนขึ้นในภายหลัง
ศาสนามีองค์ประกอบสำคัญคือข้อกำหนดทางศีลธรรม ซึ่งตั้งอยู่บนแนวคิดพื้นฐานในศาสนานั้นๆ ผมคงแบ่งออกง่ายๆเป็นสองกลุ่ม ได้แก่กลุ่มศาสนาที่มีพระเจ้า กับกลุ่มศาสนาที่ไม่มีพระเจ้า เช่นพุทธศาสนา หรือศาสนาอื่นๆในอินเดีย
เมื่อมีข้อกำหนดทางศีลธรรมมาก ทั้งที่มาจากส่วนความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ความสัมพันธ์กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และจากความเชื่อ โอกาสจะกระทำความผิดจึงมีได้มากตาม
ครั้นกระทำผิดแล้วเกิดภาระทางใจ การขอโทษ หรือที่จะเรียกว่า ขอขมา ขอการอภัยบาป ขมากรรม ศีลล้างบาป ฯลฯ จึงเกิดมีขึ้นในศาสนา ในฐานะพิธีกรรมที่ช่วยให้ปลดปล่อยภาระทางใจอันนั้น
ทว่าการปลดปล่อยเช่นที่ว่านี้ ไม่อาจเกิดขึ้นเองจากฝ่ายเดียวได้ ต้องมีการให้อภัยทั้งจากผู้ถูกกระทำและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพื่อปลดปล่อยภาระทางใจให้ครบทั้งสองฝ่ายในกรณีที่เป็นความผิดพลาดต่อบุคคล และทำให้การขอโทษนั้นสมบูรณ์ในกรณีที่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาเกี่ยวข้อง
ศาสนารู้ว่ามนุษย์นั้นมีข้อบกพร่องแต่ก็แสวงหาความบริบูรณ์ การมีมลทิน บาป หรือภาระทางใจดังกล่าวล้วนแต่ทำให้ความสมบูรณ์หรือความบริสุทธิ์ในทางศาสนาไม่อาจเกิดขึ้นได้ กลไกที่ว่านี้จึงเกิดขึ้นมาในทุกศาสนา
ศาสนาที่มีพระเจ้า เมื่อมีการกระทำผิดขึ้น จึงเรียกร้องการขออภัยต่อสองส่วน คือต่อผู้ที่ถูกกระทำและต่อพระเจ้า เพราะการกระทำผิดบาป ไม่ใช่การกระทำผิดในตัวมันเอง แต่เพราะมันได้ละเมิด “พระบัญญัติ” หรือสิ่งที่พระเจ้ากำหนดไว้ให้กระทำหรือไม่กระทำ เช่นการฆ่ามนุษย์ โดยหลักศีลธรรมทั่วไปเป็นการละเมิดต่อชีวิตผู้อื่น แต่ในศาสนาที่มีพระเจ้ายังมีความหมายว่า ได้ละเมิดต่อพระบัญญัติที่พระองค์ห้ามไว้ด้วย ความผิดนี้จึงมิใช่ความผิดต่อเพื่อนมนุษย์เพียงอย่างเดียว
แม้หลังการสังคายนาครั้งที่สอง คริสตศาสนานิกายโรมันคาโธลิคจะเน้นว่า มโนธรรมสำนึกของปัจเจกบุคคลนั้นสำคัญกว่าพระบัญญัติ แต่การปฏิบัติตตามพระบัญญัติก็ยังจำเป็นอยู่
มักมีผู้เข้าใจผิดว่า ในคริสตศาสนามีศีลล้างบาป แปลว่าศาสนิกก็สบายทำผิดอย่างไรก็ได้ เพียงไปขอให้บาดหลวงทำพิธี โดยแค่สารภาพก็จบแล้ว
เท่าที่ผมทราบ เงื่อนไขสำคัญในการอภัยบาปนั้น ประการแรกผู้ขออภัยจะต้องมีความสำนึกผิดอย่างแท้จริงต่อความผิดของตน หากไม่มีข้อนี้การอภัยบาปจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย และ มิใช่ว่าเพียงสำนึกผิดแล้วจะจบ แต่ต้องมีการ “ใช้โทษบาป” ด้วยวิธีการต่างๆ อีกด้วย
สิทธิที่จะยกโทษเป็นของพระผู้เป็นเจ้าแต่ผู้เดียว แต่มีบาทหลวงเป็นตัวแทน มีภาพยนตร์เรื่องหนึ่งที่ฉายภาพของปัญหานี้ คือภาพยนตร์เกาหลีเรื่อง “Secret Sunshine” มีฉากหนึ่งที่ตัวเอกรู้สึกไม่พอใจอย่างมากที่ผู้กระทำผิดรู้สึกว่าตนได้รับการอภัยจากพระเจ้าแล้ว และอยู่ดีมีความสุขสบายใจ แต่ที่ฝ่ายเสียหายคือตนเองยังไม่ได้ให้อภัยก่อนเลย ประเด็นนี้คงต้องพูดคุยกันต่อไปอีก
ส่วนศาสนาที่ไม่ได้นับถือพระเจ้าเช่นพุทธศาสนาหรือแม้แต่มีเทพเจ้าอย่างฮินดู มีกลไกทางศีลธรรมโดยใช้ระบบ “กรรม” เป็นเครื่องรับรองความยุติธรรมในการได้รับผลของการกระทำนั้น
ดังนั้น แม้จะสำนึกผิดหรือไม่ก็ตาม กรรมก็ย่อมส่งผลไปตามระบบของมัน แต่พุทธศาสนาหรือศาสนาฮินดูก็ยังมีพิธี “ขมากรรม” หรือพิธีล้างบาป (ฮินดูเรียก ปรายัศจิตกรรม) อยู่ด้วย
ฝ่ายมหายานและวัชรยานถือว่าพิธีนี้สำคัญมากๆ เป็นกิจที่ต้องทำพื้นฐาน โดยการขมากรรมที่เราได้เคยทำไว้ทั้งหมดต่อหน้าพระรัตนตรัย โดยมีบทสวดหรือการปฏิบัติในการขมากรรม เพราะถือว่าหากรู้สึกว่าอกุศลกรรมที่ได้เคยทำไว้ยังคงมีอยู่มากมายโดยไม่สำนึกหรือได้ขมาแล้ว ย่อมเกิดอุปสรรคทางใจต่อความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรม
โดยทฤษฎีในพุทธศาสนาเอง พระรัตนตรัยก็ไม่อาจลบล้างผลกรรมที่เคยทำไว้ได้ การขมากรรมมิได้ลบล้างผลของกรรมที่จะเกิดขึ้น (วิบาก) แต่ช่วยให้จิตใจของผู้ขมากรรมบริสุทธิ์สะอาด ปลดปล่อยพันธะทางใจไป
กระนั้นการขมากรรมในพุทธศาสนาก็ต้องประกอบด้วยเงื่อนไขสองอย่าง กล่าวคือ ต้องมีความสำนึกผิดอย่างแท้จริง และต้องตั้งจิตว่าจะไม่กระทำความผิดเช่นนั้นซ้ำอีก
เราจะเห็นว่า ไม่ว่าจะศาสนาไหนมีเงื่อนไขสำคัญคือการ “สำนึกผิดอย่างแท้จริง” การขอโทษหรือขมาจึงสามารถเป็นส่วนหนึ่งของการปลดปล่อยภาระทางใจได้ มิฉะนั้นก็จะเป็นเพียงพิธีกรรมขอโทษหรือขอขมาที่ไร้ความหมาย
ในฟากฝ่ายของผู้ให้อภัยดูจะเป็นเรื่องที่ยากยิ่งกว่าเสียอีก ศาสนาจึงมักมีคำสอนว่าการให้อภัยเป็นคุณค่าอย่างสูงสุด เพราะช่วยปลดปล่อยตนเองออกจากความแค้นและความเกลียดชัง ซึ่งเอาเข้าจริงไม่ง่ายเลย นักปรัชญาบางท่านจึงเสนอว่า ผู้ให้อภัยควรรู้สึกว่าได้รับการชดใช้ หรือได้รู้สึกว่าอีกฝ่ายสำนึกผิดจริงๆ แล้ว ซึ่งเป้นประเด็นเรื่องความยุติธรรมด้วย จึงต้องใช้เวลา การให้อภัยจึงค่อยเกิดขึ้นภายหลังจากเวลาผ่านไปแล้ว
น่าเศร้าที่ในบ้านเรา เจตนารมณ์ของการขอโทษและการให้อภัย ถูกลดทอนลงจนเหลือเพียงพิธีกรรม ดังเมื่อมีการกระทำผิดเกิดขึ้น ตำรวจมักนำผู้ต้องหาไปขอขมาผู้ตายหรือญาติพี่น้องในช่วงทำแผนประกอบคำรับสารภาพทันที โดยไม่สนใจว่าจะมีการสำนึกผิดจริงหรือไม่ ทั้งๆ ที่การกระทำผิดนั้นเพิ่งเกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ ส่วนฝั่งผู้ให้อภัยก็โดนบีบกลายๆ ว่าต้องรับการขอขมาทันทีเช่นกัน อย่างน้อยก็ในเชิงพิธีกรรม มิฉะนั้นจะดูกลายเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้น
ทั้งหมดนี้ยิ่งก่อความเจ็บปวดต่อผู้ถูกกระทำยิ่งขึ้นไปอีก ไม่ต้องพูดถึงกรณีที่ยังไม่มีการขอโทษหรือการชดใช้ใดๆในเหตุการณ์ทางการเมืองของไทยหลายต่อหลายครั้ง จนกลายเป็นบาดแผลทางใจของสังคม
ผมคิดว่า ในกรณีการขอโทษที่เป็นความผิดพลาดส่วนบุคคลในทางการเมือง ไม่ใช้รัฐหรือผู้สั่งการ หากเราอยากจะให้อภัย ก็อาจใช้เงื่อนไขจากตัวอย่างในศาสนาได้ คือต้องแสดงให้เห็นว่ามีการสำนึกผิดอย่างแท้จริง ชดใช้ตามสมควรแก่เหตุ และแสดงเจตนารมณ์ว่าจะไม่ทำเช่นนั้นอีก
การขอโทษและการให้อภัยจึงจะมีความหมาย ส่วนผู้กระทำผิดที่ยังไม่สำนึกนั้น ก็ควรต้องเรียกร้องให้ออกมายอมรับความผิด ออกมาขอโทษ และชดใช้ความผิดนั้นด้วย
สังคมจึงจะได้รับการเยียวยาและก้าวไปข้างหน้าได้