Fantasy vs Reality : ตื่นจากแฟนตาซีสู่ชีวิตจริง

บทความโดย อันอัน วรวรรณ จุลละโพธิ
ภาพประกอบโดย Nakkusu

โลกของเราเริ่มจากแฟนตาซี ชีวิตในวัยเด็กของเราเต็มไปด้วยจินตนาการที่ความเป็นไปไม่ได้นั้นเป็นไปได้ เราเชื่อในนางฟ้า ซานตาคลอส นาร์เนีย โลกแห่งเวทย์มนตร์ต่างๆ นานา แฟนตาซีทำงานเพราะว่าเด็กๆ ไม่มีประสบการณ์หรือหลักฐานของความจริง ตอนเราอายุ 5 ขวบ ไม่มีเหตุผลใดที่จะไม่เชื่อคุณลุงซานต้าหุ่นหมีมีหนวดเคราคลานลงมาในปล่องไฟทุกๆ ปีในวันที่ 24 ธันวาเพื่อมาแจกของขวัญใต้ต้นคริสมาสให้กับเด็กๆ ทั่วโลก ตอนเป็นเด็ก เราไม่ต้องคิดถึงเหตุและผล เพราะมันไม่มีอยู่ในโลกของเด็ก มันช่างปลอบประโลมจิตใจในการปล่อยให้ตัวเองอยู่ในโลกที่ไม่สมจริง และบางคนก็เชื่อในแฟนตาซีมากกว่าความจริง มันทำให้เราสบายใจและสามารถแยกตัวออกมาจากประสบการณ์อันเจ็บปวดที่ไม่สามารถอยู่ได้ แต่เราไม่ได้สูญเสียศักยภาพที่จะจินตนาการเพียงเพราะว่าเราเติบโตขึ้นหรอกนะ แต่เราอาจจะเข้าใจมากขึ้นว่าแฟนตาซีบางอย่างไม่ได้มีอยู่จริง

หลายต่อหลายคนมีภาพชิวิตที่เหมือนการ์ตูนที่เป็นความต่อเนื่องของความรื่นรมย์ ที่ทำให้เกิดความมั่นคงหรืออบอุ่นใจที่จะปกป้องเราไม่ให้พบเจอกับความเจ็บปวดและความยากลำบากในชีวิต เราฟุ้งฝันว่า จินตนาการทั้งหลายจะมาฉุดช่วยเราขึ้นมาจากความจริงอันเจ็บปวด โลกอันแสนน่าเบื่อ เราอยากเปลี่ยนช่องตลอดเวลา เพื่อเสพย์สิ่งที่เราวาดฝันเอาไว้เท่านั้น เราไม่เคยเห็นความจริงที่ดำรงอยู่ตรงหน้าเราเลย เพราะมันไม่สอดคล้องกับภาพฝันในจักรวาลที่เราสร้างขึ้น จักรวาลแห่งแฟนตาซีอันไม่มีที่สิ้นสุด ที่เราสามารถเข้าไปซุกตัวนอนเล่น เปิดแอร์ ห่มผ้า เปิดไฟเพดานที่เต็มไปด้วยดวงดาวพร่างพราย โลกข้างนอกมันชัดเจนเกินไป ความรู้สึกต่างๆ เรื่องราวที่เกิดขึ้นในโลกมันสว่างเกินไป มืดเกินไป เราจึงอยากปล่อยเบลอ เราจึงอยากฟุ้งฝันให้ใจฟู ให้เราได้ลืม ให้เราได้กระโดดข้ามชั่วขณะของการลิ้มรสชีวิตเต็มๆ ของการเกิดมาในร่างกายนี้ที่มีความทุกข์ เราหลอกตัวเองว่า แฟนตาซีช่วยได้ แต่สุดท้ายมันไม่ได้เป็นอย่างนั้นน่ะสิ

เรจจี้ เรย์ ธรรมาจารย์ในสายธรรม กล่าวถึงแฟนตาซีไว้ว่า

“แฟนตาซีเป็นโลกที่เราสร้างขึ้นในสภาวะจิตของเรา ที่เกิดจากประสบการณ์ในอดีต เงื่อนไขทางสังคม และเรื่องราวส่วนบุคคล แฟนตาซีเป็นโลกอันปลอดภัยที่มีข้อจำกัด ที่ที่เราสามารถดำรงภาพลักษณ์อันต่อเนื่องของตัวเองและสิ่งแวดล้อมรอบตัวเอาไว้ได้”

แต่ความเป็นจริงนั้นไม่มีการปรับแต่ง เป็นประสบการณ์ในร่างกาย ในปัจจุบันขณะ ที่ประกอบไปด้วยสัมผัสในร่างกาย อารมณ์ความรู้สึก และธรรมชาติที่เปลี่ยนไปตลอดเวลาของชีวิต ความเป็นจริงมักจะไม่สะดวกสบายและท้าทาย เพราะมันขัดต่อภาพในจิตที่เราสร้างขึ้น แต่ร่างกายเป็นพาหนะของการเข้าถึงความเป็นจริง จากการภาวนาเราสามารถเข้าถึงความรู้สึกต่างๆ ในร่างกาย อารมณ์ และพลังงานลึกลับทั้งหลาย มากกว่าที่จะเข้าไปติดอยู่ในปรากฎการณ์ของจิต

ความวิตกกังวลเป็นการตอบสนองโดยธรรมชาติที่เราเริ่มที่จะเชื่อมโยงกับความเป็นจริงในระดับลึกขึ้น เป็นสัญญาณที่ว่า เรากำลังเคลื่อนไปจากโลกที่จิตสร้างขึ้น สู่การเผชิญหน้ากับสิ่งที่จริงและมีศักยภาพในการเปลี่ยนแปลง”

เรจจี้ เรย์

จาก Awaken to Reality Talk by Reggie Ray ปี 2562

หากเข้าไปค้นดูใน Merriam-Webster ดิกชันนารี “แฟนตาซี” แปลว่า “พลังอำนาจในการสร้างภาพทางจิตที่ไม่เป็นจริงในการตอบสนองต่อความต้องการทางจิตใจ ที่ต้องการมีวัตถุแห่งจินตนาการ ภาพแห่งจิต หรือภาพสภาวะจิต เช่น ฝันกลางวัน หรือ แฟนตาซีทางเพศอันรื่นรมย์”

คนที่เสพติดโลกแห่งจินตนาการจะสร้างโลกอีกใบขึ้นมาจากภาพทางจิตที่ไม่ได้เป็นจริง เพื่อตอบสนองความต้องการทางจิตที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ เช่น ความหิวกระหาย  ความต้องการความสบายใจและการปลอบประโลมใจ  แล้วเชื่อว่าเป็นโลกใบนี้ที่เราสามารถพบทางออกและคำตอบให้กับปัญหานานาที่เกิดขึ้น เป็นโลกที่น่าอยู่กว่า โดยไม่ได้คำนึงถึงผลที่จะตามมาภายหลัง เป็นโลกใบที่ง่ายกว่าที่น่าอยู่มากกว่าโลกของความเป็นจริง เพราะความเป็นจริงหมายถึง การหายจากการมึนเมา คือการปล่อยแฟนตาซีออกไป คือการปล่อยให้ความเจ็บปวดทางกายภาพ ทางจิตใจ ทางอารมณ์และทางสภาวะจิตเข้ามาทำงานกับเรา

“สำหรับคนที่มีทรอม่า การปล่อยแฟนตาซีไปนั้นช่างน่าสยดสยองยิ่ง เพราะแฟนตาซีเท่านั้นที่เป็นตัวกั้นระหว่างความทรงจำของทรอม่าหรือการเผชิญหน้ากับทรอม่า คนที่มีความเจ็บปวดมักใช้จินตนาการแยกตัวเองออกมาจากทรอม่า ยกตัวอย่างเช่น การทำให้เขาหรือเธอรู้สึกว่าสถานการณ์ในชีวิตมันไม่ได้แย่มากนัก แฟนตาซีเป็นประโยชน์ในการปกป้องพวกเขาจากความเป็นจริงที่หนักหน่วง แต่ในขณะเดียวกัน การดำรงอยู่ในแฟนตาซีนั้นก็อันตรายยิ่ง การติดอยู่ในแฟนตาซีทำให้เราไม่เคยรู้จักความสวยงามของชีวิตตามที่เป็นจริง หรืออนุญาตให้ตัวเองเยียวยาได้จริงๆเลย”

จากหนังสือ Parallel Universe ของ David B Bohl

ถึงอย่างไรก็ตาม ความเป็นจริงสำคัญมากในการดำรงชีวิต ความเป็นจริงที่ไม่บิดเบืยน ไม่โกหก ความเป็นจริงที่แสดงให้เห็นว่าสิ่งต่างๆ เป็นอย่างไรและอนุญาตให้เราตัดสินใจอย่างเป็นผู้ใหญ่ เราไม่ได้เป็นเด็กอีกต่อไปแล้ว การตกอยู่ในหลุมพรางของแฟนตาซีก็ไม่ต่างจากคนเสพติดยา ที่ยังคงมีแฟนตาซีที่เชื่อว่า ยามีประโยชน์ เป็นแฟนตาซีที่หลอกตัวเองว่า ยาไม่ได้เป็นปัญหา แล้วก็บอกตัวเองต่อไปว่า ก็แค่สูดเข้าไปอีกครั้ง เป็นการหลอกตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่าไม่รู้จักจบสิ้น

การอยู่รอดของเราอยู่ในชีวิตประจำวัน คือแต่ละนาทีที่เราดำรงอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง มองชีวิตแต่ละชั่วขณะที่ผันแปรไปตามเหตุปัจจัย แฟนตาซีล่อลวงเราให้กลับไปจมอยู่ในโลกที่สวยงาม ยั่วยวน และไม่มีอยู่จริง แต่เมื่อใดก็ตามที่เรารู้ตัวว่าความเป็นจริงเท่านั้นที่จะเยียวยาประสบการณ์ในอดีตทั้งหลายที่เราเก็บกักไว้ แฟนตาซีก็แค่ขโมยเวลาของเราไปจากประสบการณ์แห่งชีวิตที่สดใหม่ทุกขณะตรงหน้า

เชอเกียม ตรุงปะ รินโปเช วัชราจารย์ในสายธรรม กล่าวถึงแฟนตาซีไว้ว่า

“แฟนตาซีเป็นแค่วัตถุนิยมทางจิตวิญญาณอย่างหนึ่ง เพราะเราพยายามที่จะแช่แข็งอารมณ์ความรู้สึกต่างๆ ไว้ เพื่อเอาตัวรอดต่อไปได้ เราสร้างประสบการณ์เสียงนินทาทางจิตที่ไหลลื่น สอดแทรกด้วยอารมณ์ความรู้สึกฟุ้งฝันกระจัดกระจายหลากสีสัน แสดงออกซึ่งท่าทึและบทบาทในการเชื่อมโยงโลกด้วยการสร้างสิ่งแวดล้อมใหม่ขึ้นมา ดินแดนแฟนตาซีที่ “ตัวฉัน” จะอยู่ในนั้นตลอดไป”

จากหนังสือ Cutting Through Spiritual Materialism

สถาบันวัชรสิทธา ก่อตั้งขึ้นเพื่อเป็นพื้นที่ทดลองทางการศึกษา บนพื้นฐานของการภาวนา การใคร่ครวญด้วยใจ และการแลกเปลี่ยนประสบการณ์อย่างเป็นมนุษย์ระหว่างผู้เรียน