เพม่า โชดรัน เขียน
ทีมงานวัชรสิทธา แปล
ภาพประกอบโดย Nakkusu
เมื่อนาโรปะ พยายามค้นหาความหมายของคำสอน เขาออกเดินทางตามหาคุรุ นาโรปะรู้สึกว่าตัวเองถูกบีบคั้นอย่างหนัก เขาศึกษาความรู้ทั้งหมดเกี่ยวกับความกรุณา แต่เมื่อเจอหมาขี้เรื้อน เขากลับเบือนหน้าหนี ในทำนองเดียวกัน เขารู้ทุกอย่างเรื่องการไม่ยึดติดและการไม่ตัดสิน แต่เมื่อคุรุของเขาร้องขอให้เขาทำอะไรบางอย่างที่ไม่เห็นด้วย เขาก็ปฏิเสธ
เราเองก็เจอสภาวะบีบคั้นในชีวิตตลอดเวลา เป็นที่ที่เราต้องมองหาทางเลือกเพื่อที่จะอยู่ให้ได้ จุดที่เรารู้สึกไม่โอเค อับอาย มักเป็นจุดที่เราถอยหนี เราชอบภาวนา ชอบฟังคำสอน ก็ต่อเมื่อเรารู้สึกได้รับแรงบันดาลใจและได้เชื่อมโยงกับตัวเองบนเส้นทางที่ใช่ แต่พอเวลารู้สึกว่าเจออุปสรรค ตัดสินใจผิดพลาด หรือไม่เป็นดังหวัง อะไรๆ ก็ดูแย่ไปหมด ภาวนาก็ดูยาก คำสอนก็จับต้องไม่ได้ แม้แต่ครูก็ดูน่ากังขา
สถานการณ์ที่บีบคั้นนั้นเป็นวัตถุดิบชั้นดีในการภาวนาและในชีวิตจริงที่เราสามารถเรียนรู้บางอย่างได้ จุดที่เราไม่สามารถยอมรับหรือปล่อย ที่ที่เราถูกกักอยู่ระหว่างสิ่งกีดขวางและความยากลำบาก ระหว่างไอเดียที่สูงส่งกับความดิบของสถานการณ์ตรงหน้า มันเป็นพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์มากๆ
เมื่อเราถูกบีบคั้น จิตใจเราจะเริ่มหดแคบ เรารู้สึกทุกข์แสนสาหัส เป็นเหยื่อ น่าสงสาร ไร้ความหวัง แต่เชื่อหรือไม่ ในขณะที่มีความยุ่งยากสับสนหรืออับอาย จิตใจของเราสามารถเปิดกว้างขึ้นได้ แทนที่จะมองสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นความอ่อนแอของเราหรือการใช้อำนาจของผู้อื่น แทนที่มองว่าเรารู้สึกโง่หรือคนอื่นใจร้าย เราควรปลดปล่อยการคร่ำครวญเกี่ยวกับตัวเองและคนอื่นทิ้งไป เราอยู่ตรงนั้น รู้สึกว่าไม่ต้องการการปกป้อง ไม่ต้องรู้ว่าจะทำอะไร แค่อยู่ตรงนั้นด้วยพลังงานที่ไม่ปรุงแต่งและอ่อนโยน มันเป็นพื้นที่ที่เราจะเริ่มเรียนรู้ความหมายที่อยู่เบื้องหลังความคิดและคำพูด
เรามักวิ่งหนีความไม่สบายกายไม่สบายใจ เราเป็นแบบนั้นแหละ ถ้าเราไม่ชอบ เราก็ต่อว่าคนอื่นหรือไม่ก็ลงโทษตัวเอง เราต้องการความมั่นคงแน่นอนเมื่อเรารู้สึกไม่มีพื้นให้ยืน
ครั้งต่อไปเมื่อรู้สึกว่าไม่มีที่มั่นคง อย่าคิดว่านั่นเป็นอุปสรรค ให้คิดว่าเป็นโชค เวลาไม่มีพื้น ที่มั่นคง จะเป็นเวลาที่เราจะอ่อนโยนและมีแรงบันดาลใจ ในที่สุดหลังจากฝึกมานาน เราเติบโตขึ้น เหมือนที่ เชอเกียม ตรุงปะ รินโปเช เคยกล่าวว่า มนตราที่ดีที่สุดคือ “OM-grow up-svaha”
เราได้รับโอกาสตลอดเวลาว่าเราจะยึดติดกับความมั่นคง หรือเราจะปลดปล่อยตัวเอง ราวกับเราเพิ่งออกจากท้องแม่ ราวกับเรากระโดดออกไปสู่แสงสว่างของชีวิตและเปลือยเปล่าสุดๆ
บางทีสิ่งที่ดูไม่โอเคหรือน่ากลัว อีกทางหนึ่งอาจเป็นโอกาสให้เราได้ตระหนักว่าโลกถูกสร้างมาเป็นแบบนี้ เราสามารถมองสถานการณ์นั้นด้วยมุมมองใหม่ และในที่สุดเราจะตื่นขึ้นจากอคติที่ฝังลึกของเรา
คำสอนโบราณของจีนกล่าวว่า “ความเป็นจริงนั้น ไม่ใช่ทั้งสิ่งนี้หรือสิ่งนั้น ดังเช่นหมาที่เฝ้าเห่าใส่ชามอาหารที่ยังร้อน มันไม่ยอมจากไปเพราะความอยากกิน แต่ก็กินไม่ได้เพราะมันร้อน”
ดังนั้นเราจะสัมพันธ์กับความบีบคั้นอย่างไร บางอย่างและบางคนกำลังปลุกเร้าให้เราสืบค้นพื้นที่ที่เป็นมุมมืด หรือคำถามที่ไม่สามารถตอบได้ว่าจะเกิดอะไรต่อไป
การอยู่กับปัจจุบันขณะเป็นไปได้เสมอในช่วงเวลาบีบคั้น ตรงนั้นเองในความไม่แน่นอนของความโกลาหลในชีวิต สถานที่ที่เราสามารถพบได้กับปัญญาญานภายในจิตใจของเรา
เราต้องกล้าในการมีประสบการณ์ตรง อยู่กับความโกลาหล “fearlessness” ความกล้าหาญ บางทีเราก็รู้สึกว่า อยู่ไม่ได้ หรือ ทำไม่ได้ แต่ในจุดนั้น ในความไม่พร้อม รู้สึกหนักอึ้ง เป็นที่ที่เราจะพบกับปัญญาญานของเรา เราสามารถอยู่ตรงนั้นอย่างเรียบง่าย ไม่มีอะไรจะเสีย อยู่ทั้งๆ ที่คิดว่าอยู่ไม่ได้ อยู่โดยไม่ตัดสินว่าถูกหรือผิด และฝึกผ่อนคลายกับ groundlessness