บทความโดย คณพล วงศ์วิเศษไพบูลย์
บทสะท้อนจากคลาสเรียน “Take Your Root” กับ กฤตยา ศรีสรรพกิจ
ภาพประกอบโดย Nakkusu
เช่นเดียวกับที่ต้นไม้มีราก มนุษย์ก็มีบรรพบุรุษ
รากเหง้าคือสิ่งที่เราไม่อาจปฏิเสธได้ ก่อนการมีอยู่ของเรา มีผู้คน สถานการณ์ และสายสัมพันธ์มากมายในอดีตที่เชื่อมโยงผูกพัน จนทำให้ถึงจุดหนึ่งเราได้ถือกำเนิดขึ้นมาท่ามกลางพื้นที่กว้างใหญ่ ที่สรรพสิ่งไม่ได้แยกขาดออกจากกัน
อุ๊เริ่มต้นคลาส Take Your Root : โอบรับที่มาของเธอ ด้วยภาพของต้นไม้ที่แม้จะได้รับน้ำ แสงแดด และสารอาหาร แต่หากไร้ราก การเติบโตก็จะไม่มั่นคง เธอกล่าวว่า “จริงอยู่ที่ต้นไม้จะเติบโตได้ต้องมีน้ำ แสงแดด สารอาหาร แต่หากไร้รากแล้วไม่ว่าต้นไม้จะได้รับการดูแลดีแค่ไหน มันก็จะเฉาตายอยู่ดี การจะเติบโตอย่างมั่นคง เราจำเป็นจะต้องต้องเรียนรู้ที่จะมีสันติกับที่มาของเราเอง”
คลาสนี้อุ๊ได้นำเอาองค์ความรู้บางส่วนจาก family constellation มาปรับใช้เพื่อทำงานกับพวกเรา family constellation แปลตรงตัวว่า “กลุ่มดาวครอบครัว” เป็นการเปรียบเปรยอย่างลึกซึ้งว่าครอบครัวเหมือนกับกลุ่มดาว ซึ่งมีลักษณะเฉพาะตัว มีระบบของตัวเอง ประกอบไปด้วยสมาชิกพื้นฐานคือพ่อ แม่ ลูก ซึ่ง Bert Hellinger ผู้ริเริ่มแนวคิดนี้ ได้ค้นพบว่าระบบครอบครัวสามารถสะท้อนชีวิตของสมาชิกแต่ละคนได้ เนื่องจากเป็นจุดเริ่มต้นหรือที่มาของเราทุกคน
การเยียวยาเริ่มต้นจากการรับรู้ตามที่เป็นจริง
หัวใจของ family constellation คือการมองเห็นว่าตัวเราไม่ได้ดำรงอยู่อย่างแยกขาดจากสถาบันครอบครัว ซึ่งย้อนกลับไปได้ตั้งแต่พ่อแม่ของเรา จนถึงผู้คนในอดีตมากมาย ทั้งที่เราอาจจะเคยเห็นหน้าค่าตา และไม่เคยแม้แต่จะได้ยินชื่อ
จุดเริ่มต้นของการรับรู้รากที่เรามี ก็คือการยอมรับพ่อแม่ ซึ่งเป็นผู้ที่มอบชีวิตนี้ให้แก่เรา อุ๊ กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า “หากมีบางส่วนที่เรายอมรับในตัวพ่อแม่ไม่ได้ เราก็จะไม่สามารถยอมรับส่วนนั้นในตัวเราเองได้ แต่การยอมรับได้ ไม่ได้หมายความว่าเราต้องเห็นด้วยกับสิ่งนั้น เราเพียงต้องยอมรับว่าพวกเขาคือแม่และพ่อของเรา”
หลักการสำคัญหนึ่งของ family constellation ก็คือ “acknowledge what is” เราต้องรับรู้และยอมรับในความจริงของสิ่งที่เป็น ซึ่งเป็นก้าวแรกที่สำคัญของการเยียวยา เมื่อเรากล้าที่จะยอมรับรากของเราแล้ว เราจะสามารถมองเห็นสิ่งต่างๆ ได้อย่างตรงไปตรงมายิ่งขึ้น ทำให้ความกลัวที่เคยมีอำนาจเหนือเรา ค่อยๆ จางคลายลง
มากไปกว่านั้น ในห้องเรียนนี้ อุ๊ยังพาเราไปสำรวจว่า “ที่มา” อาจไม่ได้หมายความถึงแค่ตัวบุคคล แต่ยังรวมไปถึง กรรม ความทรงจำ และพฤติกรรม ที่ส่งต่อกันมาจนถึงตัวเราด้วย ซึ่งนั่นหมายถึงการยอมรับในสิ่งที่เราเป็น ทรอม่าที่เรามี หรือบาดแผลต่างๆ ที่อาจเคยเกิดขึ้นในวัยเด็ก
เครื่องมือหนึ่งที่อุ๊ชวนให้เราได้ลองใช้คือ healing sentence ประโยคสั้นๆ ที่พูดเพื่อยืนยันการรับรู้และความขอบคุณต่อชีวิตนี้ “แม่ค่ะ/ครับ ผม/หนูคือแม่และพ่อ ภายในตัวผมแม่และพ่อเป็นหนึ่งเดียวกัน ขอบคุณสำหรับชีวิตนี้ ขอบคุณที่ทำให้ผมได้เกิดมาในโลกนี้”
การกล่าวประโยคเช่นนี้ไม่ได้หมายความว่าเราต้องลืมความผิดหวังหรือบาดแผล แต่เป็นการยอมรับการมีตัวตนของที่มาของเรา เมื่อการรับรู้นี้เกิดขึ้นในระดับของร่างกายและความรู้สึก พลังบางอย่างที่ติดขัดหรือคั่งค้าง ก็จะสามารถไหลเวียนเป็นความเข้าใจและการปลดปล่อย
Order of Love กฎแห่งความรักสามประการ
“ในธรรมชาติมีกฎเกณฑ์บางอย่างที่เป็นระบบอยู่แล้ว เราเพียงแค่ปล่อยให้ระบบนี้ทำงานอย่างลื่นไหลไม่ติดขัด”
Bert Hellinger ค้นพบระบบครอบครัวในช่วงที่เขาใช้ชีวิตเป็นนักบวชในคณะเยซูอิต ซึ่งต้องไปเผยแพร่ศาสนาในทวีปแอฟริกา เขาเห็นว่าชาวแอฟริกามีสุขภาวะทางใจที่ดีกว่าชาวเยอรมันในบ้านเกิดของเขา ซึ่งมีปัจจัยสำคัญก็คือระบบครอบครัวที่สมดุล
จากการค้นพบนี้ เขาจึงพัฒนาแนวคิด order of love หรือ กฎแห่งความรักขึ้นมา 3 ประการ ซึ่งอุ๊ก็ได้เน้นย้ำว่า นี่ไม่ใช่กฎเกณฑ์ที่ตายตัว แต่เป็น “รูปแบบตามธรรมชาติในความสัมพันธ์ ที่จะช่วยให้ความรักไหลเวียนได้ดีที่สุด”
กฎข้อที่ 1. ความเป็นส่วนหนึ่ง (Belonging) : ทุกคนในครอบครัวล้วนมีที่ทางหรือพื้นที่ของตัวเอง หากใครสักคนถูกทำให้หายไปหรือหลงลืม พื้นที่ว่างนั้นจะสร้างผลกระทบทางลบต่อคนอื่นๆ ในครอบครัว
อุ๊ อธิบายกฎข้อนี้ผ่านกระบวนการ เธอให้เรายืนล้อมกันเป็นวงกลมที่สมบูรณ์ จากนั้นก็ดึงคนออกไปจากกลุ่มหนึ่งคน การหายไปของบุคคลนั้นส่งผลให้เกิดช่องว่างขึ้น คนในกลุ่มมีปฏิกิริยาที่แตกต่างกันออกไป บางคนเกิดความเป็นห่วง บางคนอยากเข้ามาทดแทนพื้นที่ว่างนั้น บางคนอยากปกป้องพื้นที่เพื่อรอคอยให้คนที่หายไปกลับมา บางคนอาจรู้สึกว่าไม่อยากรับรู้ ฯลฯ
ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับคนในกลุ่ม สะท้อนให้เห็นถึงระบบครอบครัว ที่ทุกคนเป็นส่วนสำคัญต่อระบบนั้น เมื่อมีใครคนหนึ่งในครอบครัวหายไปหรือถูกกีดกันออก ไม่ว่าจะด้วยการเสียชีวิต การถูกทำให้หลงลืม การไม่ได้รับการต้อนรับ ฯลฯ ทุกคนในระบบย่อมได้รับผลกระทบทั้งสิ้น
อุ๊ อธิบายต่อว่า สิ่งที่เราสามารถทำได้ในกรณีนี้ ก็คือการรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นอย่างตรงไปตรงมา รับรู้ว่ามีบุคคลหายไปจากระบบครอบครัว รับรู้ว่าจริงๆ แล้วเขามีตัวตน และยอมรับว่าเขาเป็นส่วนหนึ่งของระบบของเรา การรับรู้นี้จะช่วยพาการดำรงอยู่ของเขากลับเข้ามาเติมเต็มวงกลมให้สมบูรณ์อีกครั้ง
กฎข้อที่ 2. ลำดับขั้น (Hierarchy) : การยอมรับลำดับของผู้ที่มาก่อน เพื่อให้สอดคล้องกับทิศทางการไหลของความรัก
อุ๊ อธิบายว่า ใน family constellation ความรักถูกส่งต่อในทิศทางจากด้านบนลงสู่ด้านล่าง เช่นเดียวกับสายน้ำ ด้านบนคือผู้ที่มาก่อนเรา ซึ่งจะเป็นผู้ส่งต่อความรักมาสู่เราอีกทีหนึ่ง เราจึงจำเป็นต้องให้ความเคารพต่อพวกเขา เช่น น้องเคารพพี่ พี่เคารพแม่และพ่อ เป็นต้น การให้ความเคารพตามลำดับนี้จะช่วยให้ระบบครอบครัวดำเนินไปอย่างราบรื่นและสมดุล
อุ๊ ได้ยกตัวอย่างลำดับของการนั่งกินข้าวบนโต๊ะอาหาร ว่าเป็นกิจกรรมที่สะท้อนถึงกฎในข้อนี้ได้เป็นอย่างดี เธอกล่าวถึงเคสตัวอย่างของครอบครัวที่ขัดแย้งอยู่เป็นประจำ จนกระทั่งได้ลองเปลี่ยนมานั่งเรียงลำดับตามเข็มนาฬิกา จาก พ่อ-แม่ ไปสู่ พี่และน้อง ซึ่งทำให้ครอบครัวนี้ลดความขัดแย้งลงได้อย่างน่าทึ่ง
ขณะเดียวกัน อุ๊ก็ย้ำว่า ลำดับขั้นนี้ ไม่ได้หมายถึงว่าใครมีอำนาจมากกว่าใคร แต่มีเป้าหมายเพื่อให้ “ความรักไหลเวียนได้ดี” ซึ่งทิศทางการไหลของความรักไม่สามารถที่จะข้ามผู้ที่มาก่อนไปได้ มันจึงเป็นสายธารของการส่งต่อความรัก จากคนผู้หนึ่งไปสู่อีกคนตามธรรมชาติ
กฎข้อที่ 3. สมดุล (Balance) : สมดุลในทีนี้คือสมดุลของการให้และรับ ในทุกความสัมพันธ์ควรมีสมดุลของการให้และรับ โดยเฉพาะความสัมพันธ์คู่รัก ไม่ควรต้องมีใครที่รู้สึกว่าให้มากกว่าอีกฝ่าย ทว่าในกรณีของพ่อแม่กับลูกๆ นั้นแตกต่างออกไป เพราะสิ่งที่พ่อแม่ได้ให้กับลูกคือชีวิต ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่สามารถมีสิ่งใดตอบแทนคืนได้ อุ๊กล่าวว่า วิธีที่เราจะให้คืนพ่อแม่ได้ดีที่สุด ก็คือมองเห็นคุณค่าของชีวิตนี้ แสดงออกถึงความขอบคุณต่อพวกเขา และพยายามส่งต่อในสิ่งรับมาสู่คนอื่น
รู้รากเพื่อเติบโตในแบบตน
การรู้จักและยอมรับที่มาของเรา คือกุญแจสำคัญในการปลดปล่อยตัวเองจากอดีตที่เคยกักขังเราไว้ ไม่ใช่เพื่อย้อนกลับไปซ้ำรอยเดิม แต่เพื่อให้เราได้ “เลือก” อย่างแท้จริง เลือกเก็บสิ่งดีงามไว้ เลี้ยงดูมันให้เติบโตต่อ และเลือก “จบ” สิ่งที่ไม่ดีไว้ที่รุ่นเรา เพื่อไม่ให้ใครต้องแบกรับมันอีก
อุ๊เสริมว่า การกลับมาเชื่อมต่อกับรกรากของตัวเอง ไม่ได้มีแค่การเผชิญหน้ากับบาดแผล หากยังเป็นการเปิดรับสิ่งดีงามที่อาจหล่นหายไปเมื่อเราตัดตัวเองออกจากที่มา เช่น ความรักจากพ่อแม่หรือบรรพบุรุษ ไม่ว่าพวกเขาจะยังมีชีวิตอยู่หรือจากไปแล้ว ไม่ว่าเราจะรู้จักพวกเขาหรือไม่ก็ตาม ความรักเหล่านั้นยังคงอยู่ และเป็นแรงเกื้อหนุนที่คอยโอบอุ้มเราอยู่เสมอ
การรับรู้ว่ามีผู้คนข้างหลังเป็น “ราก” ซึ่งสนับสนุนเราให้ใช้ชีวิตของเราเองอย่างเต็มที่ ช่วยเติมพลังให้กับเราในวันที่สับสนหรือลังเลสงสัยในตัวเอง ซึ่งนอกจากความรักแล้ว พ่อแม่-บรรพบุรุษ ยังส่ง “มรดก” หรือ ศักยภาพเฉพาะบางอย่างมาถึงเราด้วย
มรดกนั้นมีหลายรูปแบบ บ้างอาจเป็นทรัพย์สิน ปัญญา ความแข็งแกร่ง ความอดทน ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ถูกส่งต่อมาทางสายเลือด และยังคงอยู่ในตัวเรา หากเราเปิดใจของเราต่อที่มาอย่างแท้จริง เราจะพบว่ารากของเรานั้นไม่ได้มีไว้เพื่อยึดเราไว้กับอดีต แต่เป็นรากที่ส่งพลังให้เรายืนหยัดและเติบโตในแบบของตัวเอง