“ในโลก subtle world หรือโลกที่ละเอียด,โลกที่มองไม่เห็น มีความหลากหลายเท่ากับหรือมากกว่าความหลากหลายในโลกทางกายภาพเสียอีก เพราะฉะนั้นเวลาใครไปเห็นเทพหรือรับรู้พลังงานอะไรแล้วบอกว่ามันต้องเป็นแบบนี้เท่านั้น อย่างอื่นไม่ใช่ ไม่ถูกแน่นอน เพราะมันไม่มีทางที่ใครจะรับรู้ได้ทั้งหมด เหมือนออกเรือไปถึงทวีปแอฟริกา แล้วบอกว่าที่นี่มีแต่ทรายเท่านั้น แต่ที่จริงเขายังเดินทางไปไม่ลึกพอที่จะเห็นว่ามันมีป่า มีน้ำตก มีสิงสาราสัตว์มากมาย ดังนั้นการเดินทางของทุกคนให้ถือว่าใช่หมด อย่าเพิ่งบอกว่าตัวเองบ้าหรือคิดไปเอง อยากให้คิดว่ามันเป็นไปได้ทั้งหมด แล้วค่อยมากลั่นกรองดิกชันนารีส่วนตัวของตัวเองว่ามันใช่ไม่ใช่” – กฤตยา ศรีสรรพกิจ
Subtle World
นอกเหนือจากมนุษย์ สัตว์ และสิ่งของที่เราเห็นได้ในโลกกายภาพ ยังมีตัวตนอื่นๆ ที่เราไม่สามารถรับรู้ได้ด้วยร่างกาย เราอาจเรียกเขาเหล่านั้นว่าผี ภูต พราย เทพ เทวดา นางฟ้า หรือปีศาจตามที่เราอ่านเจอในหนังสือหรือเห็นจากโทรทัศน์ แต่ตัวตนและความจริงทั้งหมดในโลกพลังงานอาจมีมากมายกว่าภาพจำที่เรามีก็ได้ โลกทางพลังงานจึงเป็นโลกที่น่าค้นหา น่าเข้าไปสัมผัส น่าจินตนาการถึง เรียกร้องให้เข้าไปทำความรู้จักกับสิ่งที่ไม่คุ้นเคย
“แล้วส่วนหนึ่งที่เดวิด (David Spangler) และครูที่ฟินฮอร์นหลายคนเล่าให้ฟังคือ มันมี being ทั้งที่มีกายภาพและพลังงานเหมือนมนุษย์เรา ดอกไม้ หิน สัตว์ โต๊ะ มีทั้งกายภาพและพลังงาน แต่มันก็มีบาง being บางอย่างที่ไม่มีกายภาพ ไม่มีอะไรที่สัมผัสได้เหมือนกับเรา แล้วในโลกนั้นก็มีทั้ง being ที่เป็นนักเดินทางเหมือนพวกเราในห้องนี้ ที่สนใจเรื่องพลังงาน อยากรู้จักอีกโลกหนึ่ง แต่บางคนก็ไม่สนใจอะไรพวกนี้เลย ไม่ใช่ไม่เชื่อ แต่มันไม่อยู่ในสารบบของชีวิตเขา โลกพลังงานก็เป็นแบบนั้นเหมือนกัน เดวิดบอกว่ามันมี being ในโลกทางพลังงานอีกมากที่เขาไม่รู้ว่ามันมีโลกทางกายภาพ มันเป็นโลกคู่ขนานที่เขาไม่เคยมีประสบการณ์มาสัมพันธ์กับเราในโลกนี้ ก็มีอีกมากที่เขาไม่รู้จักเรา แล้วก็มีอีกมากที่เขาไม่สนใจจะรู้จักเราเหมือนกัน” กฤตยา กล่าว
Messages from Other Sentient Beings
“แต่ปรากฏการณ์ที่มันกำลังมีมากขึ้นเรื่อยๆ ในช่วง 30-40 ปีที่ผ่านมา ก็คือ being จากโลกนั้นที่ต้องการจะรู้จักโลกเรามีเยอะขึ้น แล้วก็มนุษย์เราที่อยากจะรู้จักโลกนั้นก็มีเยอะขึ้น แล้วก็หลากหลายขึ้น เพราะว่ามันเป็นวิวัฒนาการขั้นต่อไปของโลก แล้วก็เป็นสิ่งที่จำเป็นที่ทำให้โลกหมุนต่อไปได้ เพราะว่าสภาวะที่เราเป็นอยู่วันนี้ ตอนนี้ ทุกคนก็รู้อยู่แล้วว่าเรากำลังเดินทางไปสู่หายนะ เราข้ามจุดที่เราไม่สามารถแก้ปัญหาโลกร้อนได้แล้ว มันเลยไปแล้ว เราไม่สามารถแก้ปัญหาระบบการปกครองแบบที่เคยเป็นมาได้ ในหลายๆ มิติของโลกมนุษย์ของเรา เราเริ่มเข้าสู่ทางตัน มันเริ่มไม่มีคำตอบในวิถีแบบเดิมของเรา มันจำเป็นที่จะต้องมีการทำงานร่วมกับสิ่งอื่น กับเพื่อนร่วมงานอื่น เพื่อที่จะสร้างทางออกแบบที่มันไม่เคยมีมาก่อน ซึ่งอีกโลกหนึ่งเขาก็รู้สึกแบบนั้น เมื่อก่อนเขาก็อยู่ได้แบบไม่ต้องยุ่งกับมนุษย์ แต่ ณ วันนี้ที่มนุษย์แข็งแรงมากขึ้น มีศักยภาพมากขึ้นในการสร้างมากขึ้น แล้วเราก็มีศักยภาพในการทำลายล้างมากขึ้นด้วย เราเริ่มไปเบียดเบียนโลกของเขาด้วยเหมือนกัน เรามีวิวัฒนาการที่รับรู้เรื่องละเอียด สนใจเรื่องแบบนี้กว้างขึ้น เมื่อก่อนมันอยู่แต่กับคนกลุ่มเล็กๆ และมันเป็นความสามารถของผู้วิเศษบางกลุ่ม อาจจะเป็นนักบวช อาจจะเป็นร่างทรง อาจจะเป็นหมอดู เป็นคนพิเศษที่มีเซนส์รับรู้ แต่ตอนนี้คนที่มีเซนส์รับรู้หรือยอมรับการพูดถึงเรื่องเหล่านี้กว้างขึ้น เหมือนประตู เมื่อก่อนมันมีสะพานเชื่อมเล็กๆ แต่ตอนนี้มีสะพานเยอะมากขึ้น มีเส้นทางที่หลากหลายในการเชื่อมมากขึ้น และมันก็จำเป็นมากขึ้นด้วย โดยเฉพาะที่แบบวัชรสิทธาที่มีการสั่งสมพลังงานต่างๆ มา มีกระบวนการยิ่งเรียนรู้ มีคุรุ สะพานแข็งแรง เป็นที่ที่ให้เราไปต่อได้ ครูที่ฟินฮอร์นและหลายๆ คนที่อุ๊เคยเจอ เคยทำงาน หรือเคยเรียนด้วย เวลาเชื่อมโยงกับโลกทางพลังงาน กับเทพต่างๆ ก็จะได้ข้อความคล้ายๆ กันอย่างนี้ว่า มันไม่ใช่แค่สิ่งที่รู้สึกดี หรือสิ่งที่ดีต่อใจอีกต่อไป แต่มันเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อความอยู่รอดของเราแล้วก็ของพวกเขาด้วย เพราะฉะนั้นในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมามันถึงมีคนที่ได้รับ message อะไรเยอะขึ้น มีครูยุคใหม่ที่ได้รับ channel มีเทพ มีนั่นมีนี่มาหา อยากจะมอบวิชาต่างๆ ให้ ให้มาช่วยเป็นล่าม เป็นสะพานให้มนุษย์กับโลกพลังงานมาเชื่อมโยงกันได้มากขึ้น เหมือนช่วยมาทำงานร่วมกันเพื่อความอยู่รอดของเราทุกคน”
การติดต่อสื่อสารกับโลกทางพลังงานมีมาตั้งแต่อดีต แค่อาจจะไม่มีวิธีการที่หลากหลายเท่าตอนนี้และจำกัดอยู่ในวงแคบๆ และเป็นไปเพื่อร้องขออะไรบางอย่าง เช่น พิธีขอฝน มากกว่าจะเป็นบทสนทนาแบบที่ทั้งเขาทั้งเราเท่าเทียมกัน ถึงอย่างนั้นก็ยังดีกว่าการที่ทั้ง 2 โลกไม่ยุ่งเกี่ยวกันเลย ในปัจจุบันเรายังเห็นคนไปผูกผ้า 3 สีรอบต้นไม้ ยังเห็นคนไปสำนักทรงเพื่อแก้เคล็ด หรือแห่กันไปกราบ ‘ไอ้ไข่’ ขอพร ขอโชคลาภ ดูๆ ไปแล้วเหมือนมีแต่ได้แค่ฝ่ายเรา ผู้เข้าร่วมท่านหนึ่งจึงถามว่าเทพต้องการอะไรจากการทำคำขอของเราให้เป็นจริงกันแน่
“เมื่อก่อนความสัมพันธ์ของมนุษย์กับเทพมันเป็นแบบเราต่ำกว่า เราทำสิ่งนี้ไม่ได้แล้วขอให้ช่วยหน่อย เช่นเมื่อก่อนเราเป็นชาวนา เราต้องใช้ชีวิตไปตามฤดูกาล ถ้าฝนไม่ตกเราก็ซวย เราไม่มีศักยภาพในการจัดการตัวเองมากเท่าไหร่ เราต้องพึ่งพิง เราต้องร้องขอ ในยุคนั้นมันเป็นความสัมพันธ์แบบการร้องขอ แต่ในยุคนี้ที่มนุษย์โตขึ้นเยอะทั้งในเชิงกายภาพ เรามีเทคโนโลยีในการจัดการกับสิ่งต่างๆ ในเชิงจิตวิญญาณของมนุษยชาติมันก็สูงขึ้นแล้ว สิ่งที่เทพมักจะสื่อสารมา คือพวกแกเลิกขอได้แล้ว เมื่อไหร่จะโตสักที มันก็เริ่มเข้าสู่ยุคที่มันต้องยกระดับไปให้พ้นจากตรงนั้น
จูดี้ (Judy McAllister) ครูอุ๊ที่ฟินฮอร์นคนหนึ่งที่มาเมืองไทยบ่อยๆ เขาประหลาดใจมากว่าไทยเป็นชาติที่พูดเรื่องสิ่งที่จับต้องไม่ได้ได้อย่างเปิดเผยที่สุดเท่าที่เขาเคยเจอมา มันอยู่ในวิถีชีวิตของเรา มีศาลพระภูมิ วันพระก็มีคนขายดอกไม้ มีคนไปขูดขอหวย แม้ว่าหลายคนจะมองว่ามันงมงาย แต่การที่เรามองว่ามันงมงาย มันยังอยู่ในการตระหนักรู้ของเรา ในขณะที่คนตะวันตกหรือที่อื่นๆ ที่เขาเคยไป มันไม่อยู่ในชีวิตประจำวันขนาดนี้ เมืองไทยยังมีทุนอยู่เยอะมาก มันจึงเป็นทั้งสินทรัพย์ที่ดีที่เรามีความเชื่อเรื่องเหล่านี้ แต่มันก็เป็นกับดักด้วยว่าเราต้องขอ ทั้งที่ความจริงแล้วสิ่งที่เธอขอทั้งหมดเธอทำเองได้ แล้วมนุษย์ก็มีศักยภาพในการทำอะไรบางอย่างที่เทพก็ทำไม่ได้ด้วยซ้ำ มันถึงต้องมีการทำงานร่วมกัน เพราะว่าเทพไม่มีกายภาพ เทพเป็นพลังงานอย่างเดียว ถ้ามนุษย์ไม่เอาพลังงานเหล่านี้มาลงมือทำ มาลงมือสร้างด้วยมือของเรา ด้วยโลกกายภาพของเรา มันก็ยังไม่สามารถปรากฏขึ้นจริงในโลกได้
และในขณะเดียวกันสิ่งที่เป็นตัวปิดกั้นการเชื่อมโยงระหว่างเรา ก็คือการที่มนุษย์ยังไม่เชื่อมั่นในตัวเองเท่าที่ควร เหมือนที่เราเชื่อว่าเราอยู่ระดับนี้ แล้วเทพอยู่ระดับนี้ ยังไงก็ไม่เจอกัน แต่จะทำยังไงให้เรารู้ว่าเรามีมิติที่เราไม่ได้เหมือนเขา แต่มันเท่ากัน มันมีสภาวะของความเท่ากันที่มันจะมาสื่อสารกันได้ สิ่งที่ขวางทางการสื่อสารระหว่างเราคือการรู้สึกว่าเรายังไม่ดีพอ เรายังไม่คู่ควร เราทำเองไม่ได้ เราต้องไปขอให้เขาทำให้”
ก่อนตอบคำถาม อุ๊ กฤตยาได้ช่วยสรุปสิ่งที่ being ในโลกพลังงานต้องการบอกพวกเรามากที่สุดมา 2 ข้อ
ข้อแรกคือเราจำเป็นต้องทำงานร่วมกัน และตัวตนฝั่งนั้นก็รอให้เราเปิดช่องคุยกับเขา เพราะมันจำเป็นต่อการอยู่รอดของเขา จำเป็นต่อการอยู่รอดของเรา จำเป็นต่อการอยู่รอดของโลก รวมถึงจำเป็นต่อวิวัฒนาการของเขาด้วย
อีกข้อคือมนุษย์มีศักยภาพที่เราไม่ค่อยรู้ว่าเรามี นั่นคือ เราสร้างสิ่งที่ไม่เคยมีให้มีได้ ซึ่งจริงๆ แล้วเรานึกว่าสิ่งเหล่านี้คือความสามารถของเทพที่ดลบันดาลให้สิ่งนั้นสิ่งนี้สำเร็จได้ แต่จริงๆ แล้วมนุษย์ก็มีความสามารถในการทำแบบนั้น
การขอพร ขอหวย หรือขออะไรก็แล้วแต่เป็นกิจกรรมที่ผูกพันเหนียวแน่นกับสังคมไทย นอกจากจะสะท้อนความเชื่อทางของคนในสังคมแล้ว อ.มะเดื่อยังชี้ว่าวัฒนธรรมเกิดภายใต้สังคมชนชั้นที่ทำให้เรารู้สึกว่าต่ำต้อยหรือด้อยกว่า ซึ่งมันไม่ใช่ความจริง การขอพรหรือการบนอาจทำให้เราได้เชื่อมโยงกับโลกพลังงานก็จริง แต่นอกเหนือจากบทสนทนาเดิมๆ เราสามารถผูกสัมพันธ์กันด้วยบทสนทนาแบบใหม่ การแก้บนอาจไม่ต้องถวายน้ำแดงหรือม้าลาย แต่เปลี่ยนเป็นคำขอบคุณในรูปแบบอื่น เช่น การส่งต่อคำขอบคุณโดยการช่วยเหลือคนอื่นต่อไป คำขอบคุณไม่ว่าจะรูปแบบใดก็เป็นอาหารที่ช่วยเพิ่มพลังให้กับ being เหล่านั้น
“จริงๆ ในสภาวะของตัวเราทุกคนประกอบด้วย physical body และ spirit body อันหลังมีหลายเลเวลมาก soul energy ชั้นที่เล็กที่สุดคือพวกมด แมลง จนมาถึงคุรุ หรืออวตาร จริงๆ แล้ว soul ของทุกคนเหมือนกับสิ่งที่อยู่ในนางฟ้า เทวดา เพียงแต่ว่า soul ที่ได้รับเลือกจาก pre-birth divine plan แล้วสำเร็จก็เลยทำให้เรามีแรงผลักดันที่จะมีร่างกาย ถามว่า angel ดีกว่าเราไหม angel เขาก็ suffer เพราะเขาอยู่ในโลกที่ไม่ได้รับการดูแล อยู่ในโลกที่ถูกหลงลืม เหมือนเอาเราไปขังไว้ในห้อง การไปบนบานศาลกล่าวแล้วเราได้ เหตุผลข้อที่ 1 ที่เกิดได้จากตัวเราเอง เวลาที่เรามีความเชื่อแรงกล้า เรามี action เหล่านี้ เราจึงได้ในสิ่งที่เราอาจจะได้ ข้อที่ 2 คือการทำงานระหว่าง angel กับเรา คือ angel รู้สึกว่าคนนี้ดี ถ้าเขาได้พรหรือได้ตามสิ่งที่เขาขอ เขาน่าจะเอาไปทำอะไรให้กับโลกใบนี้ได้ ถ้าเราได้มาแล้ว แล้วเราไปทำบุญต่อ สิ่งที่ angel จะได้คือบุญกุศล” – อ.มะเดื่อ
ความแตกต่างของบ้านเราก็คือ การปฏิสัมพันธ์กับเทพในชีวิตประจำวัน ทว่าการปฏิสัมพันธ์นั้นจำเป็นต้องเติบโตอย่างมีวุฒิภาวะขึ้นด้วย ดังที่ อุ๊ กฤตยา ได้กล่าวปิดท้าย
“การบนของคนไทยก็เป็นสิ่งที่ทำให้ spirit ในเมืองไทยยังคึกคักกันอยู่ เพราะมันมีการแลกเปลี่ยนพลังงาน มีการพูดคุย มีการสื่อสารกันประจำ ไม่ได้ถูกทิ้งไว้ไกลๆ แต่สิ่งที่ควรจะเกิดขึ้นในระดับต่อไปคือ พวกแกอย่ามาขออะไรในเรื่องเล็กๆ แบบนี้ แต่มาช่วยกันทำงานดีกว่า เหมือนลูกที่โตเต็มวัยควรจะมาร่วมกับพ่อแม่ กับคนยุคเก่า มาสร้างอะไรใหม่ๆ ที่มันจำเป็นจำต้องมีคนหลายๆ ยุคมารวมกัน”